พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อธิบายเรื่องนี้ว่า ในความเป็นจริงแล้วคงไม่สามารถระบุตัวเลขมาตรฐานได้ตายตัว ว่าพนักงานสอบสวน 1 คน ควรทำกี่คดีต่อปี โดยพนักงานสอบสวนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น 191 มีปริมาณงานประเภทหนึ่ง พนักงานสอบสวนในต่างจังหวัดก็มีอีกประเภทหนึ่ง ส่วนพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เช่น บก.ปอท. คดีเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ , คดีค้ามนุษย์ หรือคดีที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางอีกหลายด้าน ก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง ดังนั้นการวัดผลเป็นรายบุคคลให้เท่ากันคงไม่สามารถกำหนดชัดเจนแบบนั้นได้ อีกทั้งงานยากบางครั้งอาจต้องทำเป็นปีจึงจะเสร็จหนึ่งคดี ต้องมีการวางแผนประเมินพนักงานสอบสวนที่รับคดีพื้นฐานในสถานีตำรวจ ว่าแต่ละคนไม่ควรรับเกินเท่าไร
“ ผู้บังคับบัญชาและหัวหน้าโรงพักต้องใส่ใจดูว่าปริมาณงานกับตัวบุคคลมีความสอดคล้องกันหรือไม่ เพราะคดีไม่รู้ตัว 80 คดี อาจเสร็จใน 3 วัน แต่คดีฆ่า หลบหนี ยาเสพติด ฟอกเงิน หรือคดีออนไลน์ บางครั้งปีหนึ่งก็ทำไม่เสร็จ พนักงานสอบสวนรับแจ้งความร้องทุกข์ทั้งหมด ซึ่งปะปนไปด้วยความยากง่าย คดีที่ต้องสอบพยานเป็น 100 ปาก คดีเดียวก็อาจเทียบเท่า 40 คดีง่ายๆ ดังนั้นความยากง่ายของสำนวนและเคสที่ผ่านมาเป็นสิ่งสำคัญ
ผู้บังคับบัญชาต้องพิจารณาว่าคดีที่ยากควรทำเป็น “คณะพนักงานสอบสวน” หรือไม่ หรือให้สารวัตรช่วยดูแล หรือโอนสำนวนให้รองผู้กำกับช่วยทำโดยมีทีมลูกน้อง ต้องดูเป็นกรณีไป (case by case) แม้จะมีค่าเฉลี่ยอยู่แล้ว แต่คดีพิเศษก็มีไม่น้อย
ส่วนการบริหารจัดการคดีที่ค้างอยู่ อาจให้พนักงานสอบสวนบางคน เช่น 4 ใน 10 คน มารวมกันทำสำนวนที่ค้างโรงพักให้เสร็จ ส่วนที่เหลืออีก 6 คนก็รับเวรและรับคดีใหม่ ไม่ควรให้พนักงานสอบสวนแบกรับสำนวนที่เยอะเกินไป เพราะมีผลต่อหน้าที่ ความเครียดสะสม และอาจถึงขั้นคิดสั้นจากโรคซึมเศร้า ตรงนี้ผู้บังคับบัญชาและหัวหน้าโรงพักมีส่วนสำคัญมากในการทำหน้าที่ใส่ใจดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา”
พล.ต.ท.อาชยน ชี้แจงว่าการขาดแคลน มีทั้งเกิดจากการเกษียณ, การปรับโอน, การสอบเป็นเนติบัณฑิตไปเป็นอัยการ/ผู้พิพากษา, หรือการโยกย้ายไปตำแหน่งอื่นที่ไม่ใช่พนักงานสอบสวน
สาเหตุที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้มีการบรรจุพนักงานสอบสวนครบทุกตำแหน่งตามที่ขอไว้ เนื่องจากมาตรการบริหารภาครัฐไม่สามารถเพิ่มจำนวนกรอบของงบประมาณได้ ทำให้ทุกภาคส่วนมีความขาดแคลนอยู่แล้ว กรอบตำแหน่งตามอัตรากำลังพลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่กำหนดไว้ 300,000 หรือ 200,000 ตำแหน่งนั้น ปัจจุบันก็ยังขาดบุคลากรอีกหลายหมื่นนาย งานสอบสวนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ประสบปัญหาขาดแคลน
“ การมีกรอบตำแหน่งไม่ได้หมายความว่าจะบรรจุได้หมด เพราะขึ้นอยู่กับงบประมาณที่ได้รับ การจะเป็นพนักงานสอบสวนมีความยากลำบากและใช้เวลาอบรมประมาณ 15 เดือน หลังจากรับเข้ามาในแต่ละปี ซึ่งจริงๆแล้วทางหน่วยงานให้ความสำคัญกับการบรรจุพนักงานสอบสวนเป็นอันดับแรก นักเรียนนายร้อยตำรวจ 95% ประมาณ 200 กว่าคน ต้องไปอยู่หน้างานสอบสวนก่อน
นอกจากนี้ ยังมีการรับบุคคลภายนอกที่มีคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์หรือกฎหมายจากต่างประเทศเข้ามาเป็นพนักงานสอบสวน ซึ่งรวมแล้วประมาณพันกว่านายต่อปีที่มีแผนจะบรรจุ หลังจากผ่านการอบรม ”
พล.ต.ท.อาชยน ยอมรับว่างานสอบสวนเป็นงานที่เหนื่อย มีความกดดัน และมีคู่กรณี ทำให้หลายคนต้องใช้กำลังใจ แรงจูงใจจึงมาจากเงินประจำตำแหน่งและเงินค่าทำสำนวน ประเด็นที่สองคือการกำหนดตำแหน่งให้มีความเจริญเติบโตหรือการเลื่อนไหลที่พอสมควร มีแนวโน้มที่จะกลับมาดำเนินการในส่วนนี้ เพื่อให้พนักงานสอบสวนยังคงอยู่ในสายงาน มีแรงจูงใจและความก้าวหน้า โดยมีการพยายามอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อดูแลพนักงานสอบสวนให้ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม สามารถดำรงชีพได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี และมีแผนระยะยาวครอบคลุมหลายปี โดยจะพิจารณาบรรจุเป็นพนักงานสอบสวนเป็นอันดับแรก ซึ่งมีอัตราส่วนมากกว่าสายงานอื่นเกือบทั้งหมด ระบบการดูแลพนักงานสอบสวน รวมถึงการเข้ามาและการให้อยู่ต่อ โดยต้องมีแรงจูงใจและการสนับสนุนความก้าวหน้า
“ หน่วยงานมีแผนพัฒนาพนักงานสอบสวนมาโดยตลอด ผู้บังคับบัญชาต้องดูแลพนักงานสอบสวนให้เข้าใจลักษณะงานว่าปริมาณงานแต่ละวันกับจำนวนพนักงานสอบสวนบางที่อาจขาดแคลน ล่าสุด ผู้บัญชาได้ออกคำสั่ง ห้ามช่วยราชการเด็ดขาด เพราะตามกฎหมายก็ช่วยไม่ได้อยู่แล้ว ผู้บังคับการจังหวัดหรือผู้บัญชาการที่เกี่ยวข้อง ต้องเกลี่ยกำลังตำรวจที่เคยอยู่ในกองบังคับการด้านกฎหมายและคดีลงมาช่วยงานในโรงพักด้วย เนื่องจากบางจุดอยู่ในภาวะขาดแคลนและวิกฤต เช่น สน.พญาไท ที่เหลือพนักงานสอบสวนไม่กี่ราย ”
พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าว
ประเทศไทยมีสถานีตำรวจทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 1,484 แห่ง แบ่งออกเป็นสถานีตำรวจนครบาล (สน.) 88 แห่งในกรุงเทพฯ และสถานีตำรวจภูธร (สภ.) ในต่างจังหวัด อีก 1,396 แห่ง ขณะที่ สถานภาพกำลังพลที่ทำหน้าที่สอบสวน ตามข้อมูลปี 2567 มีจำนวน 18,599 ตำแหน่ง
แต่จากการสำรวจของชมรมพนักงานสอบสวนตำรวจ พบว่าคนครองตำแหน่งหรือที่นั่งทำงานจริง มีแค่ 12,010 ตำแหน่ง ขณะที่ตำแหน่งว่าง มี 6,589 ตำแหน่ง เท่ากับว่าคนขาดอยู่ถึง 1 ใน 3 ซึ่งหลักเกณฑ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่กำหนดไว้ว่าพนักงานสอบสวน 1 คน ควรรับผิดชอบดูแลคดี ปีละไม่เกิน 70 สำนวนคดี แต่ความเป็นจริงคือ ปัจจุบันนี้ พนักงานสอบสวน 1 คน ต้องรับผิดชอบทำคดีเฉลี่ยคนละ 200-300 คดี บางคนทำมากกว่า 450 คดีต่อปี
พ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย เลขานุการชมรมพนักงานสอบสวนตำรวจ อธิบายให้ฟังถึงภาระหน้าที่การทำงานของพนักงานสอบสวน ที่ต้องการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์นี้ กลับเต็มไปด้วยความท้าทายที่สาธารณชนอาจไม่เคยรู้
“ ต้องยอมรับว่าตำแหน่งพนักงานสอบสวนไม่เป็นที่นิยมของข้าราชการตำรวจ โดยเฉพาะตำรวจรุ่นใหม่ๆ เพราะมองไม่เห็นโอกาสเติบโต งานหนัก รายได้น้อย และยังพบว่าอัตราที่ยังว่างอยู่ในตอนนี้ เป็นการว่างที่เกิดจากการถูกผู้บังคับบัญชาเรียกตัวไปช่วยราชการ แล้วไม่มีคนมาทำงานทดแทน ”
พ.ต.อ.มานะ ฉายให้เห็นภาพงานของพนักงานสอบสวน ต่อให้เป็นคดีดูว่าเป็นคดี “ง่าย” แต่การทำงานไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนคิด เพราะมีรายละเอียดที่ต้องลงลึกและใช้เวลามาก ยกตัวอย่าง เช่น คดีรถหาย
สิ่งแรกที่พนักงานสอบสวนจะสอบถามคือ "เหตุเกิดที่ไหน" เพื่อยืนยันเขตอำนาจการสอบสวน หากประชาชนไปผิดโรงพัก เรื่องก็จะต้องถูกส่งต่อไปยังพื้นที่ที่รับผิดชอบอยู่ดี จากนั้นจะมีการซักถามรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์สินที่หายไป สถานที่เกิดเหตุ พฤติการณ์การจอดรถ การล็อก และเวลาที่เกิดเหตุ "พนักงานสอบสวนมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน" ซึ่งหมายถึงการออกไปตรวจที่เกิดเหตุร่วมกับฝ่ายสืบสวนและป้องกันปราบปราม ทำแผนที่และบันทึกสถานที่เกิดเหตุ ถ่ายรูป รวบรวมพยานหลักฐาน เช่น กล้องวงจรปิด ซักถาม รปภ. และผู้เสียหายอย่างละเอียด การประสานงานหน่วยงาน แจ้งฝ่ายสืบสวนเพื่อติดตามคนร้าย รอข้อมูลจากหน่วยงานอื่น กองพิสูจน์หลักฐาน, โรงพยาบาล, ธนาคาร
"การสอบปากคำ ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ไม่ใช่ทำได้รวดเดียวจบ นั่งซักถามไปตามแบบฟอร์ม จากนั้นก็ต้องจัดทำเอกสารสำคัญต่างๆ เช่น บัญชีทรัพย์ที่ถูกประทุษร้าย บันทึกสถานการณ์ที่เกิดเหตุ ซึ่งล้วนต้องใช้เวลาและรายละเอียดสูง คดีง่ายๆเพียงคดีเดียว หากไม่มีปัจจัยอื่นแทรก หน่วยงานอื่นให้ความร่วมมือ ให้ข้อมูลกลับมาอย่างรวดเร็ว และที่เกิดเหตุไม่ได้อยู่ไกลจากโรงพัก ทั้งหมดนี้น่าจะ "ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง" แต่ในความเป็นจริง "ไม่ใช่ เพราะมีคดีซ้อนเข้ามาตลอดเวลา" หลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ทำให้แต่ละคดีล่าช้า”
หรือแม้แต่คดีที่ไม่ต้องออกตรวจที่เกิดเหตุ เช่น คดีเช็คเด้ง พนักงานสอบสวนก็ยังต้องตรวจสอบรายละเอียดมากมาย ตั้งแต่เช็คและใบคืนเช็ค เขตอำนาจของธนาคาร มูลหนี้ว่าเป็นการกู้ยืมที่มีหลักฐานทางกฎหมายหรือไม่ และที่สำคัญคือต้องดูว่าการแจ้งความอยู่ภายในอายุความ 3 เดือนหรือไม่
“ การพึ่งพาหน่วยงานภายนอก เป็นปัจจัยหนึ่งเหมือนกันที่ทำให้มีความล่าช้าของคดี พนักงานสอบสวนต้องรอเอกสารหรือผลพิสูจน์จากหน่วยงานอื่น เช่น กองพิสูจน์หลักฐาน ธนาคาร โรงพยาบาล หรือเรือนจำ หรือแม้แต่การที่พยาน ผู้เสียหายไม่มาตามนัด”
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่พนักงานสอบสวนเผชิญคือความเข้าใจผิดของประชาชนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการแจ้งความ ประชาชนจำนวนมากมาแจ้งความคดีอาญา โดยหวังให้ได้เงินคืน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะการเรียกร้องค่าเสียหาย ต้องดำเนินการทางคดีแพ่งต่างหาก ต้องฟ้องที่ศาลแพ่งและมักต้องใช้ทนาย
"การสอบสวนไม่ใช่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คุณได้เงินคืน แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อเอาตัวผู้กระทำความผิดมาฟ้องลงโทษทางอาญา ไม่ใช่มาทวงหนี้ อันนี้ก็เป็นความเข้าใจผิดของประชาชนที่ต้องแก้"
จำนวนคดีกับจำนวนของกำลังพลที่ทำหน้าที่งานสอบสวน ซึ่งดูเหมือนสวนทางกัน อีกทั้งปริมาณคดีที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้พนักงานสอบสวนเป็น "มนุษย์ธรรมดา" ที่รับไม่ไหว นำไปสู่ความเครียดสะสม ปัญหาสุขภาพจิต บางคนเป็นซึมเศร้า และการฆ่าตัวตาย
เมื่อมาดูที่ตัวเลขข้อมูลของสำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่าระหว่างปีงบประมาณ 2562-2567 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตจากภาวะรุนแรง รวม 173 ราย
โดยปี 2565 มีจำนวนสูงถึง 44 ราย โดยหลายคนมีภาวะซึมเศร้า เครียดสะสมจากงานสอบสวน
ขณะที่ข้อมูลจากโครงการ Depress We Care ซึมเศร้าเราใส่ใจ ของ รพ.ตำรวจ ระบุว่า ระหว่างปี 2561-2567 มีข้าราชการตำรวจและครอบครัวใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2566 ตำรวจใช้บริการผ่าน Inbox มากถึง 61 ครั้ง และสายด่วนอีก 82 ครั้ง
เลขานุการชมรมพนักงานสอบสวนตำรวจ ไล่เรียงเริ่มจากอย่างแรก คือ
ปริมาณงานที่มากเกินไป พนักงานสอบสวนต้องรับมือกับสารพัดคดีที่เข้ามาพร้อมกัน ทั้งรถชน เช็คเด้ง ฉ้อโกงออนไลน์ ทะเลาะวิวาท คดีเด็กและเยาวชน หรือเรียกได้ว่าสารพัดรูปแบบคดี
ขาดผู้ช่วยและอัตรากำลังไม่เพียงพอ อัตราที่ควรจะเป็น 18,000 นายทั่วประเทศ แต่ปัจจุบันตัวเลขที่แท้จริง มีกำลังคนเพียงแค่ 2 ใน 3 และเป็นการทำงานลำพัง ไม่มีตำแหน่ง “ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน”
ค่าตอบแทนต่ำและไม่มีความก้าวหน้าในอาชีพ ระบบ "เลื่อนไหล" ที่เคยช่วยส่งเสริมขวัญกำลังใจและให้พนักงานสอบสวนสามารถเลื่อนตำแหน่งตามความสามารถโดยไม่ต้องวิ่งเต้น ถูกยกเลิกไปในปี 2559 ทำให้ขวัญกำลังใจลดลง นอกจากนี้ ค่าตอบแทนสำนวนการสอบสวนไม่สอดคล้องกับความรับผิดชอบงานที่หนักหน่วง เพราะเป็นอัตราเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2534
สำนวนคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ค่าตอบแทนทำสำนวน 500 บาท
สำนวนคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกเกิน 3 ปี ไม่เกิน 10 ปี ค่าตอบแทนทำสำนวน 1,000 บาท
สำนวนคดีอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกเกิน 10 ปี ค่าตอบแทนทำสำนวน 1,500 บาท
สำนวนคดีจราจรทางบก มีผู้ได้รับอันตรายสาหัส หรือเสียชีวิต ค่าตอบแทนทำสำนวน 500-1,000 บาท
" ดังนั้นควรที่จะเพิ่มค่าตอบแทนการทำสำนวนให้เหมาะสม...อย่างน้อยๆ ต้องเท่ากับ พนักงานสอบสวน DSI "
พ.ต.อ.มานะ เสนอ
พ.ต.อ.มานะ สะท้อนให้ฟังว่าสังคมไทยยังคงมี ระบบพวกพ้อง นิยมเงิน ยศถาบรรดาศักดิ์ และระบบรุ่น ทำให้เกิดการแทรกแซงคดี แม้แต่ตัวเขาเองยังเคยเจอ
“ ผมทำคดีกำลังสอบปากคำอยู่ จู่ๆก็ส่งสายโทรศัพท์มาให้คุย บอกคนชื่อนี้ อยากคุยด้วย แต่ผมก็ปฏิเสธไป และย้อนถามเขานั่งมาในรถคุณรึเปล่า อยู่ในเหตุการณ์ไหม ถ้าไม่ใช่ผมไม่คุย ผมจะสอบปากคำคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ”
หรือแม้แต่บางครั้งพนักงานสอบสวนอาจถูก "ฝาก" ให้ดูแลคดีพิเศษ บางครั้งก็มีที่มาจากผู้บังคับบัญชาเอง เรียกไปบอกว่า "นายฝากมา พรรคพวกกันนะดูแลด้วย" แม้จะไม่ใช่การสั่งพลิกคดีโดยตรง แต่ก็สร้างความอึดอัด นอกจากนี้ยังมีการโยกย้ายตำแหน่งที่จิ้มใส่เลย โดยไม่คำนึงถึงความถนัดหรือประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่ ”
ตัวชี้วัด KPI ของสถานีตำรวจ ที่มีการแบ่งตามหน้างาน ทั้งงานสืบสวน วัดที่การจับกุมตามหมายจับ เช่น มีหมายจับ 100 หมาย จับได้กี่เปอร์เซ็นต์ และการจับกุมคดียาเสพติด
ขณะที่งานปราบปราม วัดจากการป้องกันเหตุ เช่น ป้องกันเหตุรถหาย หรือการโจรกรรมรถยนต์ จักรยานยนต์ในพื้นที่ การตั้งด่านตรวจ จับกุมผู้กระทำผิด ส่วนงานจราจร วัดจากจำนวนอุบัติเหตุจราจร ปัญหารถติด และความปลอดภัยทางจราจร
ส่วนงานสอบสวน ดูที่ปริมาณสำนวนค้าง เป็นตัววัดหลัก เช่น คดีควรจะเสร็จใน 3 เดือน หากไม่เสร็จถือว่าค้าง บางสถานีตำรวจที่มีภาระงานเยอะ เช่น บางเขน อาจมีคดีค้างข้ามปี
แม้หากการทำงานจะไม่เป็นไปตาม KPI ที่กำหนด ผลที่ตามมาไม่ได้มีโทษทางวินัย หรือผลกระทบเรื่องของการจัดสรรงบประมาณ การเลื่อนขั้น และการวัดผลยังมีการพิจารณาหลายปัจจัยร่วมด้วย แต่ถือเป็นเรื่องที่สร้างความกดดัน เพราะเมื่อมีการประชุมผู้กำกับสถานีจะถูกเรียกไปชี้แจงและอาจโดนตำหนิในการประชุม ถึงแม้ว่าจะสามารถอธิบายสาเหตุต่อที่ประชุมได้ เช่น ขนาดพื้นที่รับผิดชอบใหญ่ทำให้มีคดีเกิดเยอะ หรือมีคนน้อย
แต่การประเมินการทำงานด้วย KPI แม้ด้านหนึ่งจะเป็น "ตัวกระตุ้น" ให้เกิดการทำงาน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง แน่นอนว่า KPI โรงพัก สร้างแรงกดดันในการทำงานของตำรวจ โดยเฉพาะพนักงานสอบสวน จนบางครั้งนำไปสู่การสร้างเทคนิค เพื่อหลบเลี่ยง “ความจริง”
“ บางครั้งก็มีเรื่องของ นโยบายปากเปล่า ของผู้บังคับบัญชา ไม่ให้รับคดีที่ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด เข้าสู่ระบบสำนวน เช่น คดีลักวิ่งชิงปล้น ถ้ายังไม่รู้ว่าใครกระทำความผิด ก็ยังไม่ให้รับคดีเป็นสำนวน แค่ให้ลงบันทึกประจำวันไว้ ไม่ต้องลงเข้าสู่ระบบสำนวนคดี เพราะกลัว KPI มันจะเสีย ไม่อยากให้กระทบ KPI ด้านการป้องกัน เพราะมันจะต้องไปรายงานประจำเดือนว่า มีเหตุลักทรัพย์ ทำไมยังจับไม่ได้
แต่การทำแบบนี้ส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย เพราะมันทำให้ข้อมูลอาชญากรรมไม่ตรงกับความเป็นจริง และส่งผลต่อการวางแผนป้องกัน เมื่ออาชญากรรมมันเกิดขึ้น สํานักงานตำรวจต้องกล้าที่จะรับแจ้งความทุกเรื่อง เพื่อให้ได้ข้อมูลจริงเอาไปบริหารในการวางแผนป้องกันอาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพ "
พ.ต.อ.มานะ กล่าว
“ หากปัญหาของพนักงานสอบสวนถูกมองข้าม เราก็จะยิ่งสูญเสียพนักงานสอบสวนที่มีคุณภาพไปเรื่อยๆ...ที่สำคัญการให้การสนับสนุนที่เพียงพอ ผลที่คืนกลับมาไม่ใช่แค่เพื่อตัวพนักงานสอบสวน แต่เพื่อสร้างความยุติธรรมให้กับประชาชน
ถึงเราจะเห็นคนหันไปพึ่งช่องทางอื่นๆ เช่น รายการทีวี หรือนักเคลื่อนไหวทางสังคม แต่อย่าลืมว่าสุดท้ายแล้วเรื่องส่วนใหญ่ก็จะถูกส่งกลับมาให้ตำรวจเป็นผู้ดำเนินการอยู่ดี...ผมยังเชื่อมั่นว่าประชาชนเขายังเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ เพียงแต่ระบบต้องเปลี่ยน "
พ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย เลขานุการชมรมพนักงานสอบสวนตำรวจ สะท้อนมุมมอง
แม้จากข้อมูลของตำรวจ จะพบว่าสถิติจำนวนคดีที่รับแจ้งความและจับกุมของตำรวจจะเพิ่มสูงขึ้น แต่เมื่อดูที่ข้อมูลของจำนวนคดีที่ส่งไปยังพนักงานอัยการ กลับพบว่ามีจำนวนลดลง รวมถึงจำนวนคดีที่เข้าสู่ชั้นศาล แสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่าง ต้นน้ำ และ กลางน้ำ ของกระบวนการยุติธรรม
โดยเฉพาะในปี 2565 และ 2566 คดีที่ถูกจับกุมจำนวนมากของตำรวจ ไม่ได้นำไปสู่การดำเนินการในชั้นอัยการหรือศาลในสัดส่วนเดียวกัน คือ ตัวเลขของจำนวนคดีการรับแจ้งความและการจับกุมของตำรวจเพิ่มสูงขึ้น แต่ตัวเลขคดีที่ส่งมาให้อัยการลดลง แม้ว่าตัวเลขบางปีจะมีความผกผันอยู่บ้างก็ตาม
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจที่พบจากดาต้าข้อมูลคือ จำนวนคดีที่อัยการส่งฟ้องมีจำนวนลดลง และคดีที่คงค้างของอัยการในแต่ละปี ไม่มีแนวโน้มลดลง แสดงให้เห็นถึงภาระงานที่สะสมเรื่อย ๆ และอาจสะท้อนถึง “ปัญหาคอขวด” หรือ “รอยรั่ว” ในกระบวนการยุติธรรม ที่กำลังต้องการการแก้ไขอย่างเป็นระบบ
เมื่อมาดูที่สถิติข้อมูลจำนวนของอัยการ อัตรากำลังรวมของข้าราชการอัยการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถึง 2567
การที่อัตรากำลังข้าราชการอัยการโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 3,862 คนในปี 2562 เป็น 4,360 คนในปี 2566 (เพิ่มขึ้น 498 คน) สูงที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการปฏิบัติภารกิจ หรืออาจบ่งชี้ว่าสำนักงานอัยการสูงสุดมีการขยายตัวของภารกิจ หรือมีปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น ซับซ้อนขึ้น จึงทำให้จำเป็นต้องเพิ่มกำลังคน เพื่อรองรับงานดังกล่าว เช่น คดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ คดีไซเบอร์ หรือคดีข้ามชาติ อาจมีความต้องการบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งส่งผลให้มีการเพิ่มอัตรากำลังในบางตำแหน่งหรือบางระดับ สะท้อนถึงแผนระยะยาวของหน่วยงานในการขยายขีดความสามารถ
ภาพรวมของคดีคงค้างจำนวนมหาศาลในชั้นอัยการ มักถูกมองว่าเป็นเพียงตัวเลขบนหน้ากระดาษ แต่เบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้ สะท้อนถึงปัญหาเชิงระบบที่ซับซ้อนมากกว่าสถิติจะบอกได้
“ เรื่องนี้อาจต้องแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ สาเหตุการเพิ่มขึ้นของคดี ต้องบอกว่าการเพิ่มขึ้นของคดีอาชญากรรม ไม่ได้ขึ้นกับคนในกระบวนการยุติธรรม ไม่ขึ้นกับตำรวจ อัยการ หรือศาลที่ทำให้คดีเพิ่มขึ้น แต่เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เช่น เศรษฐกิจไม่ดีทำให้เกิดอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์สิน หรือปัญหาความขัดแย้งทางความคิด"
นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน กล่าวอย่างชัดเจน
"และอีกส่วนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจำนวนคดีเข้ามามาก แต่ปัญหาคดีค้าง ไม่ได้เกิดจากคดีซับซ้อน หรือยาก แต่เกิดจาก “บุคลากร” ไม่เพียงพอ "
"ปัจจุบันอัยการทั่วประเทศมีไม่ถึง 5,000 คน เรามีแค่ประมาณ 4,000 กว่าคน ซึ่งไม่สอดรับกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น" นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน เริ่มต้นด้วยฉายภาพให้เห็นถึงสถานการณ์ของปัญหา ด้วยตัวเลขจำนวนของบุคลากรที่เปรียบเสมือนเป็น “กลางน้ำ” ของกระบวนการยุติธรรม ชนิดที่น่าตกใจเมื่อเทียบกับจำนวนคดีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ความหนักหน่วงของภาระงานนี้ รองอธิบดีอัยการ เล่าผ่านประสบการณ์ตรงจากอดีตเมื่อครั้งที่เป็น “อัยการจังหวัดพัทยา” ปี 2557 แต่ละวันต้องรับสำนวนใหม่เฉลี่ยวันละ 80 คดี ซึ่งมีเข้ามาทุกวัน แม้ว่าราชการจะหยุดเสาร์-อาทิตย์ แต่การกระทำความผิดไม่หยุด
ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรไม่ได้เกิดจากการไม่มีผู้สนใจเข้ามาทำงาน แต่อยู่ที่ความยากของการสรรหา เนื่องจากการสรรหาบุคลากรเป็นเรื่องยากและเข้มงวดมาก เนื่องจากมีการตั้งมาตรฐานคุณสมบัติไว้สูงคล้ายกับผู้พิพากษา เพื่อรักษาคุณภาพในการวินิจฉัยคดีและเรื่องความยุติธรรม คือ ต้องจบปริญญาตรีนิติศาสตร์ เนติบัณฑิตไทย และมีประสบการณ์วิชาชีพด้านกฎหมายอย่างน้อย 2 ปี เช่น เป็นทนายความ นิติกร หรือพนักงานสอบสวน อายุต้อง 25 ปีขึ้นไป
สิ่งที่น่าสนใจคือตัวเลขการสอบที่มีอัตราการแข่งขันสูง และผู้สอบผ่านน้อยมาก เพราะทำคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ครึ่งหนึ่งที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานที่สูงขององค์กร สะท้อนถึงความยากของการเข้าสู่อาชีพนี้ ทั้งๆที่มีตำแหน่งว่างรออยู่
เช่น การสอบใน "สนามใหญ่" (นิติศาสตร์บัณฑิต เนติบัณฑิตไทย) มีผู้สมัครเกือบ 7,000 คน แต่สอบได้เพียง 58 คน
ส่วน "สนามเล็ก" (นิติศาสตร์บัณฑิต เนติบัณฑิตไทย และปริญญาโทกฎหมาย) มีผู้สมัคร 2,000 คน แต่สอบได้เพียง 22 คน
แน่นอนว่า เมื่อคนน้อย คดีมาก การบริหารจัดการคดีย่อมเป็นไปอย่างยากลำบาก ผลกระทบที่ตามมาคือ ทำให้มีคดีค้างสะสม ส่งผลโดยตรงต่อการบริหารคดี กลายเป็น "คอขวด" ของกระบวนการยุติธรรม เพราะแม้มีตำแหน่งว่าง แต่กลับไม่มีคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสอบผ่านเข้ามาทำหน้าที่ได้
ซึ่งปัญหาการขาดแคลนบุคลากรและการสรรหานี้ “ผู้พิพากษา” ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน
ซึ่งรองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน เสนอแนวคิดในการแก้ปัญหานี้ว่า ควรเปลี่ยนจากการคัดกรองที่จุดเข้า หรือการสอบ มาเป็นการพัฒนาหลังเข้าทำงาน ด้วยการฝึกอบรม ซึ่งอาจช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ ถ้าถามความเห็นของผมในมุมมองส่วนตัว การแก้ไขปัญหาบุคลากรขาดแคลนเราอาจจะต้องลดความยากของการออกข้อสอบลง เพื่อให้ได้จำนวนคนตามตำแหน่งที่ว่างอยู่ เพราะปัจจุบันอัยการมีตำแหน่งว่าง 180 อัตรา แต่สอบได้เพียง 58 คนในสนามใหญ่ และ 22 คนในสนามเล็ก จากที่ต้องการทั้งหมด 90 คน เพราะถ้าเราดูคุณสมบัติอื่นๆ ที่กำหนดไว้ในการจะสมัครสอบได้ คุณสมบัติค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือเมื่อมีผู้สอบผ่านเข้ามาได้มากขึ้น จะต้องมีการฝึกอบรมเพิ่มเติมอย่างเข้มข้น เพื่อให้ได้บุคลากรที่มีความรู้และความมุ่งมั่นเพียงพอ "
อีกสิ่งที่น่าสนใจจากมุมมองของอัยการ คือ กระบวนการทำงาน การเป็น "กลางน้ำ" ที่ลำบากที่สุดในกระบวนการยุติธรรม เพราะกระบวนการยุติธรรมในไทย มีการแบ่งแยกหน้าที่มากเกินไป ระหว่างชั้นสอบสวน กับชั้นสั่งคดี ทำให้ 'กลางน้ำ' อย่างอัยการ เผชิญสถานการณ์ทำงานที่ยากลำบาก
“ การแบ่งแยกแบบนี้ ทำให้อัยการไม่เคยเห็นตัวพยานจริง มีแต่เห็นสำนวนกระดาษ นอกจากวันที่ไปขึ้นศาล ต้องเข้าใจว่าการที่อัยการต้องพิจารณาคดีจากเอกสารเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีโอกาสได้พบพยานหรือผู้เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้การสั่งคดีเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูงหรือมีความซับซ้อน ”
อีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนทำให้คดีล่าช้าคือ การรอสอบสวนเพิ่มเติมจากพนักงานสอบสวน เพราะปัญหาเรื่องจำนวนคดีค้างสะสมมากมาย แม้จะมีระเบียบกำหนดให้รายงานสำนวนค้างและมีการนัดสืบพยานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งรัดคดีแล้ว แต่ปัญหาความล่าช้าก็ยังคงอยู่ โดยเฉพาะคดีฝากขัง ซึ่งมีกำหนดเวลาสูงสุด 84 วันที่ต้องส่งศาล
แต่ตำรวจมักส่งสำนวนในช่วงใกล้ครบกำหนดเกินไป ทำให้อัยการต้องรีบตัดสินใจภายใต้ความกดดัน
" หากมีการปรับการส่งสำนวนคดีฝากขัง ให้ตำรวจส่งสำนวนให้อัยการดูแต่เนิ่น ๆ อย่างน้อย 2 ฝาก (24 วัน) ก่อนครบกำหนด เพื่อให้อัยการมีเวลาเพียงพอในการตรวจสอบและสั่งคดี การแบ่งปันเวลาอย่างเป็นธรรมจะช่วยให้การพิจารณาคดีมีคุณภาพมากขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะต้องขยายเวลาฝากขังหรือปล่อยตัวผู้ต้องหาไปโดยไม่มีการดำเนินคดี "
รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงระบบ
การตัดสินใจของอัยการ นอกจากมีความเห็น “สั่งฟ้อง” แล้ว ยังมี "สั่งไม่ฟ้อง"
นายวัชรินทร์ อธิบายให้ฟังว่าเหตุผลสำคัญที่จะทำให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง คือการที่ "พยานหลักฐานที่ไม่เพียงพอ" ที่จะเอาผิดผู้ต้องหาได้ โดยหากอัยการมีคำสั่ง ไม่ฟ้อง(ยกเว้นกรณีคำสั่งของอัยการสูงสุด) จะถูกตรวจสอบจากผู้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นระบบการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดี
ส่วน "เหตุอื่น" ในการสั่งยุติคดี หมายถึงกรณีที่คดีขาดอายุความ หรือเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวที่ผู้เสียหายยอมความกัน หรือมีการถอนคำร้องทุกข์ ทำให้คดีไม่จำเป็นต้องไปถึงชั้นศาล
นอกจากนี้บทบาทของการไกล่เกลี่ยคดีในชั้นอัยการก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะในคดีที่ยอมความกันได้ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณคดีที่ขึ้นสู่ศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกเว้นคดีอาญาแผ่นดินที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้
"ถ้าอัยการได้ช่วยให้ประเด็นดังกล่าวไกล่เกลี่ยได้ แล้วเขายอมให้เปรียบเทียบ มันก็จะเป็นการช่วยลดปริมาณคดีที่จะขึ้นสู่ชั้นศาลได้"
นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน กล่าว
จากข้อมูลของตัวเลขคดีอาชญากรรมที่ปรากฏข้างต้นทั้งหมดนี้ แต่แท้จริงแล้วคดีที่เห็นยังไม่ใช่ตัวเลขสุทธิของคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะมีคดีอีกจำนวนไม่น้อยไม่น้อย ที่ “เหยื่อ” หรือ “ผู้เสียหาย” เลือกที่จะไม่แจ้งความ สถิติตำรวจที่เราเห็น จึงกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความจริง
จาก รายงานผลสำรวจสถิติอาชญากรรมภาคประชาชน โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีการทำ Victim Survey ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง 30 จังหวัด ได้กลุ่มตัวอย่างประมาณ 1,400 ครัวเรือน หรือกว่าหมื่นคน เพื่อให้ได้ข้อมูลสถานการณ์การตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม
ซึ่งผลสำรวจกลับเผยให้เห็นว่า สถานการณ์อาชญากรรมในไทยซับซ้อนกว่าที่เราเคยคิด และชี้ให้เห็นถึงช่องว่างอันใหญ่ระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่หน่วยงานรับรู้
รศ.พ.ต.ต.ดร.ชวนัสถ์ เจนการ ผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติอาชญากรรมจากภาคประชาชน และเป็น 1 ในทีมวิจัยสำรวจสถิติอาชญากรรมภาคประชาชน อธิบายว่าความแตกต่างของข้อมูลอาชญากรรมที่ได้จากการสำรวจประชาชนโดยตรง (Victim Survey) เทียบกับสถิติจากตำรวจว่า ข้อมูลจากตำรวจมักถูกนำไปใช้อ้างอิงเป็นหลัก แต่ความจริงแล้วข้อมูลเหล่านั้นอาจแสดงภาพที่ไม่สมบูรณ์
"การทำ Victim Survey ของเราวิธีการเก็บข้อมูลเป็นไปตามมาตรฐานสากล ภายใต้งบประมาณที่น้อยกว่า ในสหรัฐอเมริกาใช้ บริษัท Gallup Poll เก็บข้อมูลเรื่องนี้ทุกรัฐ ใช้งบประมาณหลายร้อยล้านหรือพันล้านบาท โครงการ WJP World Justice Project ก็ใช้งบประมาณหลายสิบล้านบาทต่อ 1 ประเทศ ของประเทศไทยเราใช้งบประมาณแค่ประมาณ 1 ล้านบาทบวกลบ ในต่างประเทศใช้คำว่า 'ภูเขาน้ำแข็ง' คือสิ่งที่เราเห็นในบันทึกของตำรวจ จริงๆแล้วเป็นเพียงแค่ปลายของภูเขาน้ำแข็ง เพราะใต้ภูเขาน้ำแข็ง ตัวเลขที่ยังจมน้ำอยู่ยังมีอีกจำนวนมาก ซึ่งของบ้านเราแนวโน้มอาชญากรรมที่พบเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน คือเรื่องของการหลอกลวงฉ้อโกง เรื่องคดีอาชญากรรมเทคโนโลยี การหลอกลวงทางเทคโนโลยี เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน”
โดยงานวิจัยสำรวจพบข้อมูลในปี 2563 อาชญากรรมถึง 87.7% ไม่เคยเข้าสู่ระบบความยุติธรรมใดๆเลย จากการสำรวจประชาชน 11,834 คน พบผู้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม 1,110 คน (9.4%) ซึ่งประสบเหตุการณ์อาชญากรรมรวม 1,237 ครั้ง แต่มีเพียง 152 ครั้งเท่านั้น (12.3%) ที่มีการแจ้งความต่อตำรวจ ส่วนที่เหลือกลายเป็น "Dark Figure of Crime" หรือ "ตัวเลขที่ซ่อนอยู่ของอาชญากรรม" ที่ไม่มีใครรู้
โดยเฉพาะ เหยื่อของคดี ฉ้อโกงหลอกลวง
ส่วนใหญ่เป็นการหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์หรือโทรศัพท์ถึง 62.6% และยังพบว่าปัญหาสำคัญคือ แม้เหยื่อจะแจ้งความแล้ว ตำรวจมักติดตาม ตรวจสอบ และอายัดบัญชีไม่ทัน
สาเหตุหลักที่ประชาชนไม่แจ้งความ
นอกจากนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆ รวมถึง การคิดว่าตำรวจติดตามไม่ได้, ผู้กระทำผิดเป็นเจ้าหน้าที่/ผู้มีอิทธิพล, ไม่เชื่อมั่นประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่, กลัวถูกแก้แค้น หรือเป็นเรื่องน่าอับอาย
ขณะที่ข้อมูลที่ได้จากงานวิจัยในปี 2565 และปี 2566 แม้ผลสำรวจจะไม่พบว่ามี“ผู้เสียหาย” ที่ไม่เคยเข้าสู่ระบบความยุติธรรมใดๆเลย และตัวเลขของ “ผู้เสียหาย” ที่ไปแจ้งความกับตำรวจเพิ่มสูงขึ้น แต่จุดที่น่าสนใจ คือ ช่องทางอื่นๆ ที่ถูกเลือกในการแจ้งขอความช่วยเหลือเมื่อตกเป็นเหยื่อในคดีอาชญากรรม แทนการไปแจ้งความกับตำรวจ ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะ การเลือกไปแจ้งขอต่อเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยงานอื่นๆ
ขณะที่ผลสำรวจยังพบว่าแม้ประชาชนส่วนใหญ่ (66.9%) จะให้ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม แต่ผู้ที่ไม่เชื่อมั่น ก็ยังคงมี และให้เหตุผลที่น่าคิด
ข้อมูลและตัวเลขเหล่านี้ แม้จะเป็นใต้ฐานภูเขาน้ำแข็ง แต่การที่อาชญากรรมไม่เข้าสู่ระบบความยุติธรรม อาจส่งผลทำให้กระบวนการยุติธรรมล่มสลาย เพราะหากเจ้าหน้าที่ไม่ได้รับรู้สถานการณ์ที่แท้จริง ก็ยากที่จะวางแผนแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในการวางแผนเชิงนโยบาย
"ถ้าผมวิเคราะห์ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เอาจำนวนคดีพื้นฐานจาก Victim Survey ที่ค้นพบให้ตำรวจทำ ผมบอกเลยว่าเพิ่มคนและเพิ่มเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะหนึ่งในประเด็นสำคัญที่การสำรวจเผยให้เห็น คือปัญหาของระบบงานตำรวจ สิ่งที่เรากำลังจะบอกคือคุณต้องเปลี่ยนระบบ Paperwork อันนี้จำเป็นต้องทำ ถ้าคุณต้องการเอาข้อมูลทุกคดีนำเข้ามาสู่การวิเคราะห์ในเชิงนโยบาย การที่จะสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนให้กลับคืนมา ผมไม่ได้มองว่าควรเพิ่มกำลังคน แต่มันควรเป็นการ ปรับระบบ ปรับลดปริมาณงาน เช่น คดีเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่รู้ตัว หรือยังไม่รู้ตัว ต้องทำสำนวนเต็มรูปแบบเลยไหม รถหายแค่ทำประกาศสืบจับ ใช้เทคโนโลยีมาช่วย เปลี่ยนจากการทำสำนวนรถหาย 1 คันใช้เวลาทั้งวัน เป็นแค่ 20-15 นาที เพราะหากประชาชน เขาไม่เชื่อว่าการแจ้งความแล้วจะมีขั้นตอนดำเนินการที่ช่วยลดอาชญากรรมได้ ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็จะไม่ไปแจ้งความ...เมื่อคดีไม่เข้าสู่ระบบ ก็ไม่มีข้อมูลที่จะใช้ในการวางแผนต่อไป"
รศ.พ.ต.ต.ดร.ชวนัสถ์ กล่าว
อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ ผ่านประสบการณ์การทำงานที่ใกล้ชิดกับประชาชนมานานหลายปี
"ตัวอย่างง่ายๆ กรณีความรุนแรงต่อผู้หญิง ความรุนแรงในครอบครัว เช่น ผัวตีเมีย แม่ตีลูก พ่อแม่ปู่ย่าตายายตีเด็ก ถ้าเราไปดูสถิติการไปแจ้งความจะน้อยมากเลย แต่ถ้าไปดูสถิติจากโรงพยาบาล ผู้หญิงที่ถูกสามีทำร้าร่างกายแล้วไปรักษาตัว จำนวนตัวเลขสูงกว่าที่มีการแจ้งความหลายเท่า"
ข้อมูลนี้เผยให้เห็นว่า กรณีความรุนแรงในครอบครัว ส่วนใหญ่เหยื่อมักไม่ได้ไปแจ้งความ ทำให้โอกาสในการเข้าถึงความยุติธรรมมีน้อย ปัญหานี้ยิ่งทวีความรุนแรงในกรณีการล่วงละเมิดทางเพศ
สำหรับคดีการล่วงละเมิดทางเพศ ปัญหามีหลายมิติ ตั้งแต่การขาดแคลนพนักงานสอบสวนหญิง ไปจนถึงการไม่มีห้องส่วนตัวสำหรับแจ้งความในคดีที่อ่อนไหว
"โรงพักส่วนมากไม่มีห้องสำหรับแจ้งความคดีที่อ่อนไหวทางเพศ ทำให้เหยื่อถูกมองจากคนทั้งโรงพัก และถูก 'Victim Blaming' หรือการโทษเหยื่อ"
ปัญหาเหล่านี้ทำให้เรื่องราวในหลายกรณีไม่มีการแจ้งความ และเมื่อไม่มีการแจ้งความก็หมายถึงการไม่มีการดำเนินคดี ผู้กระทำผิดจึงไม่ได้รับการลงโทษตามควร
อังคณา สะท้อนให้ฟังว่าพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา แม้จะถูกปรับปรุงใหม่ แต่ปัจจุบันยังคงมีปัญหาที่ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถเข้าถึงการเยียวยาได้
"พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญายังคงมีปัญหาอยู่ว่าต้องแจ้งความภายใน 1 ปีหลังเกิดเหตุ หากแจ้งช้ากว่านั้นจะไม่มีสิทธิ์รับการเยียวยา ซึ่งปัญหานี้ยิ่งซับซ้อนเมื่อแม้จะแจ้งความแล้ว กว่าจะพิสูจน์ความจริงและพนักงานสอบสวนจะทำคดีเสร็จส่งศาล บางทีเหยื่อก็เสียสิทธิ์ในการได้รับความช่วยเหลือเยียวยาไปแล้ว"
แม้ว่า พ.ร.บ. นี้ จะขยายขอบเขตให้ครอบคลุมจำเลยที่ติดคุกฟรีด้วย โดยชดเชยวันละ 400 บาท แต่ก็มีเงื่อนไขที่ทำให้เกือบจะไม่มีใครได้รับประโยชน์
"เราพบว่าศาลไทยเวลาตัดสินคดี แทบไม่เขียนว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนมากจะเขียนว่า 'ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย' ทำให้ผู้ที่ติดคุกฟรีไม่มีสิทธิ์รับการเยียวยาตาม พ.ร.บ.นี้เลย"
อังคณากล่าว
อีกปัญหาหนึ่งด้านสิทธิมนุษยชนที่พบและเกิดขึ้นจริง คือ การนำคดีความมาใช้เป็นเครื่องมือในการข่มขู่ ผ่านการฟ้องร้องแบบ SLAPP suits (Strategic Lawsuit Against Public Participation)
"การฟ้องร้องดำเนินคดีแบบฟ้องแกล้งหรือฟ้องปิดปาก ถูกนำมาใช้มาก เช่น บริษัทเอกชนฟ้องนักสิทธิมนุษยชน หรือชาวบ้านที่ต่อต้านการทำเหมือง"
วิธีการนี้มีประสิทธิภาพสูงในการทำให้ชาวบ้านหยุดการเคลื่อนไหว เพราะเมื่อถูกฟ้อง ภาระในการพิสูจน์เป็นของชาวบ้าน และหลายครั้งมีการเลือกฟ้องในจังหวัดห่างไกล ทำให้เป็นภาระอย่างมากในการเดินทางขึ้นศาล
อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน บอกว่าปัญหาความล่าช้าของคดีเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อทุกฝ่าย เพราะเมื่อการพิจารณาในแต่ละคดีใช้เวลาหลายปี คนที่ถูกฟ้องก็ลำบาก แม้แต่จำเลยที่ถูกฟ้อง กว่าศาลจะพิพากษาว่าเขาจะหลุดคดี ระหว่างนี้ก็ทำมาหากินไม่ได้ ไม่มีใครรับสมัครงานหากยังมีคดีอยู่ ซึ่งปัญหานี้ ในมุมมองของนักสิทธิมนุษยชนเห็นว่าเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งการที่ตำรวจทำคดีล่าช้า ขาดแคลนพนักงานสอบสวน โดยเฉพาะพนักงานสอบสวนหญิงสำหรับคดีที่เกี่ยวกับทางเพศ
ความล้มเหลวของระบบยุติธรรมดั้งเดิม ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ประชาชนเลือกพึ่งสื่อหรือเพจดังๆ มากกว่าการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติ
"ถามว่าทำไมวันนี้ทุกคนวิ่งไปหาเพจดังๆ หรือพยายามวิ่งเต้นให้ได้ออกรายการโทรทัศน์ที่สร้างกระแส ตรงนี้สะท้อนว่าชาวบ้านไม่พึ่งกระบวนการยุติธรรมปกติแล้ว แม้ว่าสื่อจะสามารถช่วยสร้างกระแสและทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้ แต่ก็มีความเสี่ยงในการสร้างดราม่า หรือทำให้ข้อเท็จจริงผิดเพี้ยนไป"
อังคณาให้มุมมองว่าปรากฏการณ์ที่ประชาชนหันไปพึ่งเพจดังมากกว่าตำรวจ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมธรรมดา แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนที่ส่งข้อความชัดเจนว่า ระบบยุติธรรมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติความเชื่อมั่น ซึ่งการที่สื่อมีบทบาทในการ "พิจารณาคดี" ก่อนศาล สร้างปัญหาที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานของความเป็นธรรม
"ตามหลักการพื้นฐานของการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมคือ การสันนิษฐานไว้ก่อนว่าทุกคนคือผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา แต่บางทีเมื่อไปออกสื่อดังๆ กลายเป็นว่าฟันธงไปเลยว่าคนนี้ผิดแล้ว การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในสื่อ ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวและคนรอบข้างของผู้ถูกกล่าวหา ทำให้เกิดการลงโทษทางสังคมก่อนที่จะมีการพิสูจน์ความจริงในชั้นศาลด้วยซ้ำ"
"สิ่งสำคัญที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเจ้าหน้าที่ในการให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน ทำอย่างไรให้ “เหยื่อ” รู้สึกปลอดภัยเมื่อไปแจ้งความ และทำอย่างไรให้มีพนักงานสอบสวนเพียงพอในการเร่งติดตามคดี ถ้าไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง ในอนาคตอาจนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรมไทยอย่างสิ้นเชิง ซึ่งจะเป็นภัยต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาว"
อังคณา กล่าวทิ้งท้าย
ข้อมูลของสถานการณ์คดีอาญาและคดีความมั่นคงในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ (ยะลา,ปัตตานี,นราธิวาส,และ 4 อำเภอของสงขลา) ระหว่างปี 2564–2567 มีคดีอาญาเกิดขึ้นในพื้นที่ทั้งหมดรวม 77,084 คดี จับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 81,902 คน ส่วนคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคง มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 533 คดี
แม้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคดีอาญาในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ สูงกว่าจำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง แต่ที่น่าสนใจคือ จากปี 2564 จนถึง 2567 ตัวเลขจำนวนคดีอาญาในพื้นที่นี้ ลดลงต่อเนื่อง สวนทางกับจำนวนคดีความมั่นคง ที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ยิ่งสะท้อนถึงบริบทของปัญหาในพื้นที่ว่ามีความซับซ้อนหลายมิติแตกต่างกับพื้นที่ภาคอื่นๆ จนกลายเป็นความท้าทายเชิงปฏิบัติการของบุคลากรโดยเฉพาะตำรวจ ต้องรับมือกับทั้งปัญหาความมั่นคงและอาชญากรรมทั่วไปพร้อมๆกัน
"ความแตกต่างเชิงโครงสร้างของพื้นที่ภาค 9 คือ ครอบคลุม 7 จังหวัดตอนล่างของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมถึง 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ที่ต้องเผชิญคดีความมั่นคงที่มีความซับซ้อนสูง และมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างชัดเจน"
พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 กล่าว
ภูมิประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เป็นเส้นทางที่สะดวกสำหรับการลักลอบขนสิ่งผิดกฎหมายและการหลบหนีของผู้กระทำความผิด โดยเฉพาะปัญหายาเสพติดที่ไหลทะลัก แม้ไทยจะไม่ใช่แหล่งผลิต แต่ปี 2568 มีการตรวจยึดยาบ้าสูงถึง 19 ล้านเม็ด กลายเป็นภาระหนักของตำรวจในการสกัดกั้น นอกจากนี้ความแตกต่างของราคาสินค้าระหว่างสองประเทศ ก็นำไปสู่การลักลอบขนของเถื่อน เช่น น้ำมันและสินค้าหลีกเลี่ยงภาษี ผลประโยชน์มหาศาลของกลุ่มขบวนการผู้กระทำผิด สร้างภาระงานที่ซับซ้อนให้กับการทำงานของตำรวจในพื้นที่นี้
"คดีความมั่นคงในพื้นที่ มันไม่ใช่อาชญากรรมทั่วไป" พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ พยายามชี้ให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของคดีความมั่นคง ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุไม่ได้กระทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว หากแต่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่ซับซ้อน เช่น การแสดงศักยภาพขององค์กรในเวทีโลก และการสถาปนารัฐปัตตานีผ่านการใช้ประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรมเป็นเงื่อนไข
กลุ่มผู้ก่อเหตุ โดยเฉพาะ กลุ่ม BRN ถูกระบุว่าเป็นโครงสร้างองค์กรใต้ดินที่มีระบบสั่งการ แบ่งหน้าที่ชัดเจน และใช้วิธีการที่ปกปิดซ่อนเร้น จึงทำให้การดำเนินคดีความมั่นคงต้องอาศัยฐานข้อมูลที่ละเอียดรอบด้าน ทั้ง ก่อน–ขณะ–หลังเกิดเหตุ
ตำรวจภูธรภาค 9 ได้ปรับกระบวนการสอบสวนให้ต่างจากคดีทั่วไป โดยใช้คณะพนักงานสอบสวนที่มีประสบการณ์สูง ตั้งแต่ระดับสารวัตรถึงผู้กำกับ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีทางนิติวิทยาศาสตร์และหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) ที่มีความเชี่ยวชาญสูงในพื้นที่
"เรามองว่าในที่เกิดเหตุ ต้องมีเครื่องมือเก็บพยานหลักฐานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะพยานบุคคลไม่กล้าออกมา เนื่องจากอิทธิพลของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ทำให้เราต้องใช้การพึ่งพาวิธีการสอบสวนเชิงวิทยาศาสตร์ แทนคำให้การของประชาชน"
พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ ฉายภาพให้เห็นถึงการทำงานของพนักงานสอบสวนในพื้นที่ภาค 9
อีกหนึ่งกลไกสำคัญ คือการใช้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อเปิดทางสู่การซักถามผู้ต้องสงสัยและขยายผลไปยังเครือข่ายผู้เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้สั่งการ ผู้ประสานงาน คนดูต้นทาง ไปจนถึงผู้ให้ที่พักพิง โดยยึดหลักว่าคดีความมั่นคง ต้อง “ดำเนินการทั้งระบบ” ไม่ใช่เพียงตัวผู้ลงมือ
"การแก้ไขปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมายหรือความมั่นคงเพียงมิติเดียว แต่ต้องมองไปถึงการสร้างความเข้าใจร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคมพหุวัฒนธรรม แม้จะต้องรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนและรุนแรง เพราะเป้าหมายในการทำงานของเราไม่ใช่แค่หยุดเหตุร้าย แต่เราต้องทำให้สังคมกลับมาสงบสุขอย่างยั่งยืนด้วย"
พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
“เขาตีฉันอีกแล้ว…แต่ตำรวจบอกว่าเป็นเรื่องในครอบครัว และความรุนแรงในครอบครัว…ถือเป็นเรื่องส่วนตัว”
นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล พูดชัดว่า ไม่ใช่แค่ความรุนแรงรายบุคคล ปัญหาที่ตำรวจไม่รับแจ้งความในคดีต่าง ๆ เกิดจาก “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นผิวของสังคมไทยมายาวนาน ปัญหาโครงสร้าง เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ อำนาจรัฐที่สูงเกินไปหลังรัฐประหาร ระบบราชการที่เข้าถึงยาก โดยเฉพาะโครงสร้างที่ออกแบบมาไม่ให้คนตัวเล็กยืนอยู่ได้ เคสผู้หญิงถูกทำร้ายจำนวนมากที่เข้ามาหามูลนิธิฯ ไม่สามารถออกจากวงจรความรุนแรงได้ เพราะ “ไม่มีเงิน” ไม่มีรายได้ ไม่มีที่ไป และไม่มีระบบใดคอยรองรับ หากเธอเลือกจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองอีกครั้ง
“บางคนอยากออกจากบ้าน แต่ไม่มีแม้แต่ค่ารถ ไม่รู้จะเอานมที่ไหนให้ลูกกิน ไม่มีงาน ไม่มีญาติพึ่งพา พวกเขาจะอยู่รอดยังไง”
จะเด็จเล่า
ระบบราชการที่ควรจะเป็นที่พึ่ง กลับกลายเป็นป่าดงดิบของเอกสาร ขั้นตอน และความเฉยชา
ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือกระบวนการแจ้งความ โดยเฉพาะคดีความรุนแรงในครอบครัวหรือคดีทางเพศ ผู้เสียหายจำนวนมากเล่าคล้ายคลึงกันว่า เมื่อตัดสินใจเดินเข้าโรงพัก พวกเธอมักได้ยินคำพูด:
“เป็นเรื่องผัวเมีย ไปเคลียร์กันเอง”
“ถ้าจะเอาผิดจริง ต้องหาหลักฐานมาให้ชัดก่อน”
คำพูดเหล่านี้ไม่เพียงแค่ผลักผู้เสียหายกลับไปสู่ความเงียบงันเท่านั้น แต่ยังบอกอย่างชัดเจนว่า “ระบบ” ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับพวกเขาเลย
ความเงียบจากรัฐ ความจน ความกลัว และการชี้ว่า “นี่คือเรื่องส่วนตัว” ล้วนเป็นเชื้อเพลิงที่ทำให้วงจรความรุนแรงดำรงอยู่ต่อไป
เด็กที่เติบโตในบ้านที่พ่อแม่ทำร้ายกัน จะซึมซับความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ ผู้หญิงที่ทนอยู่กับผู้ชายที่ทำร้ายเพราะไม่มีทางเลือก จะเชื่อว่าชีวิตของเธอไม่มีคุณค่า ชายที่ใช้ความรุนแรงแล้วไม่เคยถูกลงโทษ จะเรียนรู้ว่าเขาสามารถทำต่อไปได้
ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว หรือครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง แต่คือ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่ไม่ควรถูกมองข้ามอีกต่อไป
ขณะที่โลกภายนอกดูจะพัฒนาไม่หยุด ทั้งเทคโนโลยี เมือง และโอกาส แต่ในบ้านของใครหลายคนกลับยังมีเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน เสียงสะอื้น เสียงโกรธ เสียงกลัว และเสียงของผู้ถูกกระทำซ้ำซากจากคนที่เรียกว่า "ครอบครัว"
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กลายเป็นชื่อที่ผู้ประสบความรุนแรงจำนวนมากเลือกพึ่งพา แม้จะไม่ใช่หน่วยงานรัฐ ไม่ใช่โรงพัก หรือกระทรวง พวกเขากลับเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” ของผู้หญิง เด็ก และแม้แต่ผู้ชายที่ไม่รู้จะหนีไปไหนจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในบ้านของตนเอง
ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เปิดเผยว่า ตัวเลขกว่า 80% ของเคสที่มูลนิธิรับมาคือความรุนแรงในครอบครัว อีก 20% เป็นความรุนแรงทางเพศและปัญหาอื่น ๆ เช่น ความยากจน สุขภาพ หรือการว่างงาน โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด ที่เคสพุ่งสูงขึ้นจนน่าเป็นห่วง ช่องทางติดต่อ เช่น inbox ของเพจ และโทรศัพท์สายตรง ถูกใช้งานแทบไม่หยุด บางเคสมาจากแรงกระเพื่อมของสื่อ
จะเห็นได้ว่า กลไกรัฐล่าช้า ความช่วยเหลือไม่ถึงมือ สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่จำนวนเคส แต่คือ "ความคาดหวัง" ที่ผู้คนมีต่อมูลนิธิ ซึ่งเดิมทีเน้นเฉพาะการช่วยเหลือด้านความรุนแรงในครอบครัว กลับต้องแบกรับปัญหาหลากหลาย ทั้งที่อยู่อาศัย ค่าใช้จ่าย ไปจนถึงภาวะซึมเศร้า สะท้อนช่องว่างของกลไกรัฐที่ตอบสนองไม่ทัน หรือไม่สามารถดูแลประชาชนได้อย่างครอบคลุมในยามวิกฤต
ในบ้านหลายหลัง ความรุนแรงไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งเดียว แต่คือวงจรที่เกิดซ้ำ จากอคติ ค่านิยมชายเป็นใหญ่ และการขาดพื้นที่ปลอดภัยทางกฎหมายหรือจิตใจ หลายคนเลือกเงียบเพราะกลัว เสียหน้า หรือเพราะเชื่อว่านั่นคือ “เรื่องของครอบครัว” และนั่นทำให้ปัญหานี้ยิ่งซับซ้อน
องค์กรเล็ก ภารกิจใหญ่: 14 ปีที่ไม่เคยหยุดยั้งของมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล แม้จะเผชิญข้อจำกัดเรื่องบุคลากร งบประมาณ และแรงเสียดทานทางวัฒนธรรม แต่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลยังคงเดินหน้า ทั้งในด้านการให้ความช่วยเหลือ การรณรงค์สร้างความตระหนัก และผลักดันเชิงนโยบายอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดยืนสำคัญที่ว่า ทุกคนควรมีชีวิตที่ปลอดภัยไม่ว่าจะอยู่ที่ใด
จากที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อบ้านไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย แล้วสังคมจะปลอดภัยได้อย่างไร... จะถึงเวลาหรือยังที่ความรุนแรงในครอบครัวจะไม่ถูกซุกไว้ใต้พรม แต่ถูกรื้อออกมาทบทวนในฐานะปัญหาเชิงระบบที่รัฐและสังคมต้องรับผิดชอบร่วมกัน
"จุดเริ่มของการทำเพจนี้ มาจากการที่ผมเป็นนักข่าวท้องถิ่นอยู่แล้ว สังกัดสำนักข่าวช่องหนึ่ง บางครั้งข่าวที่เราไปลงพื้นที่ทำมา มีประเด็นที่น่าสนใจ แต่ไม่ถูกเลือกออกอากาศ ผมเลยคิดว่าถ้าเรามีเพจของตัวเองก็น่าจะเป็นช่องทางหนึ่งในการกระจายข่าวสารที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของเราให้คนในชุมชนหรือจังหวัดใกล้เคียงได้รู้บ้าง เป็นเหมือนสื่อกลางที่ช่วยให้คนรับรู้เรื่องราวใกล้ตัวที่บางครั้งถูกมองข้ามไป"
ผู้ดูแลเพจยะลาทูเดย์ สะท้อนให้ฟังถึงความมุ่งมั่นที่ทำให้เขาเริ่มต้นทำเพจ ยะลาทูเดย์ เพจเฟซบุ๊กที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางและกระบอกเสียงของคนในพื้นที่จังหวัดยะลา โดยเฉพาะการเป็นพื้นที่ให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องต่างๆ ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลบ่า การเข้าถึงเรื่องราวใกล้ตัวที่บางครั้งสื่อหลักอาจมองข้ามไป กลับกลายเป็นสิ่งสำคัญ ที่ทำให้ “ยะลาทูเดย์” วันนี้มียอดผู้ติดตามเพจนี้กว่า 2.8 แสนคน
หัวใจหลักของการทำงานเพจยะลาทูเดย์ คือการเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างประชาชนผู้เดือดร้อนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง “สิ่งที่ผมเห็นจากการทำเพจคือ การสื่อสารกับประชาชนมันง่ายมากขึ้น คนที่เดือดร้อนหรืออยากร้องเรียนอะไรก็แค่ส่งข้อความมาทางแชท” ผู้ดูแลเพจกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เราอ่านแล้วก็พิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป บางเรื่องอาจดูเล็กน้อย แต่สำหรับคนที่ได้รับผลกระทบ มันเป็นเรื่องใหญ่ของเขา เราเลยพยายามเป็นเหมือนสะพานเชื่อมต่อใช้ความช่วยเหลือเข้าไปถึงเขาได้”
เขาเสริมว่า แม้บางครั้งหน่วยงานจะสามารถเข้าช่วยเหลือได้ทันทีหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งสำคัญคือประชาชนได้มี “ที่พึ่ง” เพราะคนเรามีความเดือดร้อนที่แตกต่างกัน
“ ที่ผ่านมา เพจยะลาทูเดย์ให้ความช่วยเหลือในหลากหลายรูปแบบ ไล่ไปตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ เช่น คนหาย สัตว์เลี้ยงหาย ของหาย หรือบางรายไม่ได้มีเรื่องร้องเรียน แต่อยากขอคำปรึกษา เช่น จะทำอย่างไรดีในเรื่องกฎหมายหรือปัญหาชีวิตเล็ก ๆ น้อย ๆ เพจก็ให้คำแนะนำตามที่รู้ บางครั้งถ้าเรื่องมันเกินกำลัง เราก็ช่วยประสานหรือแนะนำให้เขาไปติดต่อหน่วยงานที่เหมาะสมกับปัญหานั้นๆ”
ผู้ดูแลเพจยะลาทูเดย์เล่าถึง 2 เคสที่สร้างความประทับใจและเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญของเพจในการช่วยเหลือสังคม
เคสแรก เกี่ยวกับข้อพิพาทเรื่องที่ดินในอำเภอเบตง มีการเช่าที่จากรัฐ แล้วเกิดความเข้าใจผิดระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่า จนเรื่องไปถึงศาล “เราช่วยลงข่าวไป คนที่เกี่ยวข้องเห็นข่าวแล้วติดต่อมา อธิบายเรื่องราวทั้งหมด สุดท้ายก็สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ในชั้นศาล ทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันและตกลงกันได้ลงตัว ก็รู้สึกดีครับที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้เรื่องจบลงด้วยดี”
อีกเคสที่เจอเป็นประจำ คือสถานการณ์น้ำท่วม “เวลาน้ำท่วม ชาวบ้านจะส่งข้อมูลเข้ามาเลยว่า ตอนนี้น้ำสูงเท่าไหร่ อยู่ตรงไหน ช่วยรายงานให้หน่อย บางคนออกจากบ้านไม่ได้ ไม่มีอาหาร น้ำดื่ม เราก็ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ และหลายครั้งเจ้าหน้าที่ก็เข้าไปช่วยเหลือได้เร็วขึ้น เพราะข้อมูลที่ชาวบ้านส่งมาให้เราแบบทันทีทันใด”
ผู้ดูแลเพจยะลาทูเดย์ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรับปรุงระบบการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐให้เข้ากับยุคปัจจุบัน “ผมคิดว่าหน่วยงานภาครัฐควรปรับปรุงระบบการสื่อสารให้เข้ากับยุคปัจจุบันมากขึ้น ใช้โซเชียลมีเดียให้มากขึ้นเพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงง่าย ให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าต้องทำอะไรบ้างในแต่ละขั้นตอน จะได้ไม่สับสน และเจ้าหน้าที่เองก็ทำงานง่ายขึ้นด้วย ถ้าทุกฝ่ายสื่อสารกันดี เข้าใจกันมากขึ้น ผมเชื่อว่าความเดือดร้อนของประชาชนจะได้รับการช่วยเหลือได้เร็วและตรงจุดครับ” เขากล่าวสรุปด้วยความหวัง
1 ในปรากฏการณ์ทางสังคมที่สำคัญยุคนี้ คือการที่ “สื่อดั้งเดิม” และ “สื่อใหม่” ไม่ว่าจะรายการโทรทัศน์ เพจฮีโร่ หรือ อินฟลูเอนเซอร์ กลายเป็น "ที่พึ่ง" ของประชาชนในการเสาะหาความยุติธรรม
รายการ "โหนกระแส" ภายใต้การนำของ หนุ่ม กรรชัย ในฐานะพิธีกรและโปรดิวเซอร์ใหญ่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน จนหลายคนยกว่าเป็นรายการ "ที่พึ่ง" อันดับ 1 ของคนไทยในยุคนี้
อัมพร แววบุตร - บก.ข่าวรายการ เที่ยงวันทันเหตุการณ์ ช่อง 3 และหนึ่งในทีมงานรายการโหนกระแส ที่เพื่อนๆในวงการข่าวหรือหลายๆคนรู้จักและเรียกเธอว่า "โรส-โหนกระแส" ให้มุมมองที่น่าสนใจถึงบทบาทและการทำงานของรายการที่หลายคนมองว่าช่วยให้ "คดี" มีความคืบหน้าเร็วกว่าการพึ่งพาหน่วยงานรัฐตามปกติ
อัมพร บอกว่า จุดเด่นของรายการโหนกระแส คือการ "ช่วยชาวบ้าน" ส่วนใหญ่แล้วคนที่มาออกรายการ มักจบลงได้ดี และตกลงกันได้
"แต่ละเคสที่มาขอความช่วยเหลือและมาออกในรายการ ส่วนใหญ่แล้วจะจบลงด้วยดี ตกลงกันได้ มันเลยทำให้คนรู้สึกว่ามารายการแล้ว 'ได้รับความเป็นธรรม' การที่คนเลือกมาออกรายการนี้ มักมาจากประสบการณ์ที่เขาเคยไปแจ้งความหรือเคยไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐมาก่อน แต่เขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเฉพาะกรณีที่มีผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เคสที่สามีเป็นตำรวจ ภรรยาไปแจ้งความ แล้วคดีไม่ไปถึงไหนเลย สถานการณ์เช่นนี้มันสะท้อนปัญหาหรือการทำงานของเจ้าหน้าที่แล้วนะ"
สิ่งที่ชาวบ้านมองคือ หากเรื่องไม่ถึงมือ "สื่อ" ก็อาจจะไม่ได้รับความยุติธรรม
"หากเรื่องไม่ถึงสื่อก็อาจไม่ได้รับความยุติธรรม นี่คือสิ่งที่ชาวบ้านสะท้อนบอกเรา และทำให้เขาต้องมาพึ่งสื่อ เพราะเขาเชื่อว่าสื่อเป็นกระบอกเสียงให้เขาได้ การที่คดีไม่คืบหน้าเลย 5-6 เดือน โดยไม่มีคำอธิบาย ทำให้ประชาชนต้องหาทางออกด้วยการโพสต์ลงโซเชียลมีเดียหรือร้องเรียนผ่านเพจต่างๆ จนเป็นกระแส และมันก็มาถึงรายการในที่สุด”
แม้หลายคนจะมองว่ารายการมักนำเสนอแต่ "ดราม่าผัวเมีย" อัมพรขยายมุมมองว่า แท้ที่จริงแล้ว เคสผัวเมียไม่ใช่ "แค่" เรื่องผัวเมีย แต่สะท้อนถึงปัญหาสังคมและข้อกฎหมายที่ซับซ้อนและหลายคนไม่รู้
"มันก็เข้าใจได้ที่คนจะมองแบบนั้น แต่ถ้ามองให้ลึกและเปิดใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องผัวเมีย แต่มันเป็นเรื่องของข้อกฎหมาย เช่น การฟ้องร้องเรื่องสินสมรส, การฟ้องชู้, หรือค่าดูแลบุตร ซึ่งมันสะท้อนว่าคนไทยหลายคน ยังไม่ค่อยรู้กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้"
อัมพร เล่าว่า เนื้อหาในรายการที่ผ่านมาครอบคลุมปัญหาต่างๆ ที่เป็นความเดือดร้อนของชาวบ้านและมีความเชื่อมโยงทางกฎหมาย
"ที่ดินที่เคยให้ผ่านได้สมัยพ่อแม่ พอมารุ่นลูก ไม่ยอม ก็มีปัญหาฟ้องร้องกัน ทุกครั้งรายการจะให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ทางกฎหมาย โดยจะมี "ทนายความ" มาร่วมในรายการตลอด เพื่อให้ความรู้ทั้งกับผู้ร่วมรายการและผู้ชม”
สิ่งที่ทำให้หลายคดีจบลงได้ดี คือการเน้น "การพูดคุย-ทำความเข้าใจ" เป็นหลัก ทำให้เรื่องราวตกลงจบลงได้โดยไม่ต้องขึ้นศาล
อัมพร บอกว่า ต้องยอมรับว่าบทบาทสำคัญของ "หนุ่ม - กรรชัย กำเนิดพลอย" เป็นมากกว่าพิธีกร เพราะเปรียบเสมือนเป็นนักเจรจา ที่ช่วยหาทางออกและไกล่เกลี่ยให้คู่กรณีได้ “ถอยคนละก้าว”
เมื่อถามถึงวิธีการเลือกเคสที่จะมาออกในรายการ อัมพรอธิบายให้ฟังว่า ทั้งทีมงานและ "หนุ่ม-กรรชัย" ที่นอกจากจะเป็นพิธีกรแล้ว ยังเป็นโปรดิวเซอร์ใหญ่ของรายการ จะช่วยกันคิดหาเคสประเด็นและแขก
"จริงๆแล้วคนที่เดือดร้อนและติดต่อมาขอความช่วยเหลือกับรายการมีจำนวนมาก แต่เราไม่สามารถนำมาออกได้ทุกเคส เพราะต้องดูที่ประเด็นด้วย นอกจากเคสที่มาออกในรายการแล้ว ยังมีคนที่โทรเข้ามาเพื่อขอคำปรึกษาจากปัญหาของตัวเอง ทางทีมงานก็ให้คำแนะนำ บางครั้งช่วยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับเรื่องต่อ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เป็นแขกในรายการก็ตาม”
ก่อนนำเสนอแต่ละเคส ทีมงานของรายการจะต้องตรวจสอบก่อนว่าเคสนี้เดือดร้อนจริงหรือไม่ ด้วยการสอบถามข้อมูลอย่างละเอียดจากทั้งสองฝ่าย และต้องขอดูหลักฐานต่างๆ ด้วย เพราะจะมาออกรายการเพื่อกล่าวหาคนอื่นลอยๆ ไม่ได้
"การมาออกในรายการโหนกระแส อย่างที่หลายๆคนได้เห็น คือ ถ้าใครโกหก หรือให้ข้อมูลบิดเบือน ก็มีโอกาส 'โป๊ะ' กลางรายการได้เลย ทั้งจากการซักถามอย่างเข้มข้นของพิธีกร และจากหลักฐานที่นำมาแสดง รวมถึงพลังของ "นักสืบโซเชียล" ที่จะส่งข้อมูลเข้ามาสนับสนุน "การออกสื่อจะทำให้เรื่องราวของคุณเป็นสาธารณะทันที แล้วสิ่งที่คุณปิดบังไว้ หรือคุณพูดแต่ในมุมของตัวเอง หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็จะมีฟีดแบ็คหรือมีการตรวจสอบผ่านสาธารณะไปโดยปริยาย ดังนั้นคนที่จะมาออกรายการก็ต้องมั่นใจว่าหลักฐานคุณแน่นพอ"
อัมพรเล่าว่าในการช่วยเหลือเคสที่มาออกรายการ ทุกเคสจะมีการติดตามผล บางเคสจบรายการแล้วแต่ปัญหายังไม่จบ รายการก็ยังมีการให้ความช่วยเหลือต่อ โดยประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กองปราบ กระทรวงสาธารณสุข หรือกรมคุ้มครองสิทธิ เพราะบางครั้งบางปัญหาไม่สามารถแก้ให้จบแบบทันทีทันใดได้
"สิ่งที่สำคัญที่เรายึดถือเป็นหลักในการทำรายการ คือการให้ความยุติธรรมในการนำเสนอกับทุกฝ่าย ในทุกๆเคสที่มาออกรายการเราจะต้องให้พื้นที่กับทั้งสองฝ่าย หากคู่กรณีไม่สามารถมานั่งในรายการได้ ก็ต้องมีพื้นที่ทางใดทางหนึ่งให้เขาได้ชี้แจงหรือให้โอกาสเขาพูดในมุมของฝั่งคู่กรณี เช่น โฟนอิน หรือไปสัมภาษณ์เพิ่มเติมมา เพราะทุกฝ่ายต่างก็ต้องการความยุติธรรมเหมือนกัน"
“ถ้ามองจากมุมของผู้ผลิตรายการที่ช่วยเหลือประชาชน เราอยากเห็นหน่วยงานของรัฐทุกภาคส่วนมีบทบาท “เชิงรุก” มากขึ้น เข้าไปช่วยเหลือประชาชน ก่อนที่เขาจะต้องไปพึ่งพาสื่อหรือรายการโทรทัศน์ รวมถึงการเข้าถึงพื้นที่และปัญหาได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้ประชาชนไม่รู้สึกว่า ต้องมาออกรายการก่อน ต้องเป็นคดีดัง หรือเป็นคนดัง ตำรวจถึงจะสนใจทำคดี ถึงจะทำให้ได้รับความยุติธรรม และถ้ากรณีใดที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ หรือคดียังไม่คืบหน้า หน่วยงานที่รับผิดชอบก็ควรที่จะมีการสื่อสาร อธิบายเหตุผลกับชาวบ้านอย่างตรงไปตรงมา เพื่อสร้างความเข้าใจ และไม่ให้เกิดภาพจำว่า "ข้าราชการ” หรือ “หน่วยงานรัฐ” ไม่ช่วยเหลือประชาชน เพราะในทางกลับกันหน่วยงานเหล่านี้ ควรเป็นด่านหน้าในการเข้าถึงและให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นอย่างจริงจังกับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนไม่ว่าจะจากปัญหาเรื่องใดก็ตาม”
อัมพร กล่าวทิ้งท้าย
บทบาทของผู้บริหารท้องถิ่นและผู้นำชุมชนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและอาชญากรรมในพื้นที่ ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายไปสู่กระบวนการยุติธรรมและกลายเป็นภาระของตำรวจและศาล แนวคิดในการนำหลัก "รัฐศาสตร์" หรือการปกครองด้วยคุณธรรมและความเข้าใจ มาใช้แก้ไขปัญหา แทนที่จะใช้ "กฎหมาย" บังคับอย่างเคร่งครัดในทุกกรณี
นายบุญชอบ ลีลานุช ประธานชมรมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ และ กำนันเจ้าของ "รางวัลกำนันแหนบทอง" ประจำปี 2555 ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับกลไกการแก้ไขปัญหาในระดับชุมชน
ปัญหาหลากหลาย และครอบครัวคือด่านแรก กำนันบุญชอบ ชี้ให้เห็นว่าปัญหาในชุมชนนั้นมีอยู่หลากหลาย ตั้งแต่ปัญหาเล็กไปจนถึงปัญหาใหญ่ แต่สำหรับเขาแล้ว มองว่า “ปัญหาทุกอย่าง มีทางออก มีทางแก้"
เขายกตัวอย่างถึงหนึ่งในปัญหาสำคัญที่พบมากในปัจจุบันและเป็นปัญหาใหญ่ในทุกชุมชนทั่วโลก คือ ปัญหายาเสพติด ซึ่งลำพังผู้นำชุมชนเพียงอย่างเดียวก็ยากที่จะรับมือได้ และต้องพึ่งพาหน่วยงานปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะแม้กำนันและผู้ใหญ่บ้านสามารถพูดคุยและไกล่เกลี่ยได้ในส่วนที่เกี่ยวกับการเสพ โดยจะนำไปเข้าสู่กระบวนการบำบัด และส่งเสริมอาชีพหลังบำบัดแล้ว แต่หากเป็นเรื่องของการค้าและขายยาเสพติดนั้น ถือเป็นคดีอาญา จะต้องเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างไม่มียกเว้น
"ผมมองว่าจุดแรกที่จะต้องแก้ในชุมชนก็คือครอบครัว หากสมาชิกในครอบครัวช่วยกันดูแล เมื่อพบเจอสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ครอบครัวจะต้องเป็นผู้แจ้งให้กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านรับทราบ เพื่อที่ผู้นำจะได้เข้าไปสอดส่องดูแล เมื่อผู้นำรับทราบก็จะเข้าไปบอก ไปพูด ไปสอน ไปเตือน ในสิ่งที่ผิด และแนะนำสิ่งที่ถูกต้องตามระเบียบหรือกฎหมาย"
กำนันบุญชอบ สะท้อนให้ฟังว่ากลุ่มวัยรุ่นหรือเด็กในปัจจุบัน พ่อแม่พูดบางครั้งเด็กอาจจะไม่ค่อยเชื่อฟัง แต่หาก “ผู้นำ” พูด เขาจะเชื่อฟัง และก็ยังให้ความเคารพอยู่ ซึ่งหากการพูดคุยยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็จะใช้ "กระบวนการไกล่เกลี่ย"
“ในกระบวนการไกล่เกลี่ย เราจะไม่เน้นที่การ "ผิดถูก" แต่จะเน้นที่ "คุณธรรม" เป็นหลัก เราจะเอาหลักคุณธรรมเข้ามาพูด เพราะถ้าเน้นเรื่องความผิดถูก มันจะทำให้เกิดปัญหาตามมา ก็คือความไม่พอใจ"
กำนันอธิบาย
การเน้นความเป็นพี่เป็นน้อง เพราะเป็นคนในชุมชนเดียวกัน มาเป็นหลักคุณธรรมที่ใช้ในการไกล่เกลี่ยเจรจา จะช่วยลดความรุนแรงและข้อโต้เถียง เพื่อให้ท้ายที่สุดแล้วสามารถ "ขอโทษกัน" และ "ชดใช้ค่าเสียหายให้กัน" เว้นแต่กรณีทำร้ายร่างกายรุนแรงถึงขั้นบาดเจ็บมาก ที่ต้องมีการพูดคุยเรื่องค่าเสียหายและการดูแลรักษา แต่ก็ยังคงต้องเน้นการยึดหลักคุณธรรมและความสามัคคีในชุมชน
ทำให้ปัญหาไม่จำเป็นต้องไปถึงชั้นศาล
กำนันแหนบทอง บอกว่า ในชุมชนชาวบ้านจะมีสิ่งที่เรียกว่า "กฎหมายหมู่บ้าน" หรือ "กฎเหล็ก" บางที่ก็เรียกว่า "รัฐธรรมนูญหมู่บ้าน" ซึ่งจะนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหา
"ศูนย์ดำรงธรรมชุมชน ถือว่าเป็นกลไกสำคัญในการดูแลและไกล่เกลี่ยปัญหาในชุมชน ปกติในแต่ละชุมชนจะมีศูนย์ดำรงธรรมชุมชน ตั้งอยู่ที่ทำการของกำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน ศูนย์นี้ทำหน้าที่เป็นที่พึ่งของประชาชนที่มีปัญหาเดือดร้อน โดยเฉพาะปัญหาที่ไม่ใช่คดีอาญา ซึ่งต้องยอมรับว่า "ศูนย์ดำรงธรรมชุมชน” สามารถที่จะช่วยเคลียร์ แล้วก็ลดขั้นตอน ก่อนที่จะไปถึงโรงถึงศาลได้เยอะ เพราะจะมีคณะกรรมการหมู่บ้าน ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เฒ่าผู้แก่ และผู้นำชุมชน จะเข้ามามีส่วนร่วมในการไกล่เกลี่ย”
"ความเป็นวัฒนธรรม ความเป็นชุมชน ความเป็นหลักอาวุโส" ที่ถูกนำมาใช้ในการดูแลกันเองในชุมชนนี้ ยังคงมีคุณค่าและมีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน กำนันเชื่อว่า ผู้ที่กระทำความผิด แม้บางครั้งอาจไม่ยอมรับ 100% แต่ก็จะให้ความเคารพต่อผู้ปกครอง หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้การไกล่เกลี่ยหาทางออกร่วมกันได้
ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้ว ในชุมชนหนึ่ง ๆ จะมีการไกล่เกลี่ยไม่น้อยกว่า 2-3 เรื่องต่อเดือน ครอบคลุมปัญหาหลากหลาย ทั้งปัญหาที่ดิน หนี้สิน ทะเลาะวิวาท ยาเสพติด และการพนัน แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญและปริมาณงานที่ผู้นำชุมชนจัดการในแต่ละวัน แต่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของกระบวนการยุติธรรมได้อย่างมหาศาล ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก หากต้องไปถึงชั้นศาล รวมทั้งยังสามารถช่วยลดรอยร้าว ทำให้อยู่ร่วมกันในชุมชนต่อไปได้
"ผมเชื่อว่าถ้าทุกชุมชนในประเทศไทยใช้หลักการดูแลกันเองในชุมชน โดยมีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง จะสามารถช่วยลดคดีอาชญากรรมในภาพรวมของประเทศได้อย่างมาก ก่อนที่คดีเหล่านั้นจะกลายเป็นตัวเลขทางสถิติคดีความ เหตุผลสำคัญคือ ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชุมชน อย่างน้อยญาติหรือผู้ปกครองของคู่กรณี เขาจะเข้ามาคุยแล้วมาเคลียร์...เขายังไม่อยากถึงโรงถึงศาล เพราะเขาก็รู้ว่าการไปถึงขั้นนั้น คือถึงตำรวจ มันเป็นเรื่องลำบาก มันเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเขา"
กำนันบุญชอบ กล่าวทิ้งท้าย
เมื่อประชาชนมีปัญหาความเดือดร้อนและต้องการที่พึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าหน่วยงานภาครัฐมักถูกมองว่าเป็นกลไกที่ซับซ้อนและเข้าถึงยาก แต่ชื่อของ "ศูนย์ดำรงธรรม" กระทรวงมหาดไทย กลับตรงข้าม เพราะเป็นลำดับต้นๆ ที่ถูกระบุว่าเป็นหน่วยงานรัฐประชาชนนึกถึงเมื่อต้องการความช่วยเหลือ
“เรายึดหลัก "ใจเขา-ใจเรา" ในการทำงาน คือไม่ได้มองว่าประชาชนที่มาร้องเรียนเป็นภาระ แต่เรามองว่าเขาเป็นคนในครอบครัวที่ต้องการที่พึ่ง ต้องการความช่วยเหลือ ตรงนี้เป็นหัวใจในการทำงาน ของศูนย์ดำรงธรรม ตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทย เรามีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข ”
นายปวเรศ รัฐขจร ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรม สำนักตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบายถึงจุดที่เขามองว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ศูนย์ดำรงธรรมเป็นที่พึ่งยืนหนึ่งในใจของประชาชน นอกเหนือจากเหตุผลเรื่องของการเข้าถึงได้ง่าย เพราะมีศูนย์อยู่ทั่วประเทศ ทั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด 76 จังหวัด , ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ 878 อำเภอ และศูนย์ดำรงธรรรมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อีกทั้งยังมีกรอบการทำงานที่ชัดเจน หากเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ เร็วสุดคือภายใน 7 วัน และช้าสุดไม่เกิน 45 วัน และทุกเคสที่รับเรื่องมา จะมีการแจ้งผลกลับไปให้ผู้ร้องและหน่วยงานที่ส่งเรื่องทราบทุกครั้ง
ถ้าย้อนไปที่มาของศูนย์ดำรงธรรม เริ่มต้นจากการเป็น "ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารของมหาดไทย" ในปี พ.ศ. 2536 แต่เมื่อเรื่องร้องเรียนเริ่มมีจำนวนมากขึ้น จึงได้เปลี่ยนบทบาทในปี 2537 โดยเพิ่มหน้าที่รับเรื่องราวร้องเรียนร้องทุกข์ และส่งเสริมพลเมืองดี
ต่อมาในปี 2557 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีประกาศฉบับที่ 96/2557 กำหนดให้มีการจัดตั้งศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดครบทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการร้องเรียนได้ครอบคลุมถึงระดับจังหวัดมากขึ้น พร้อมทั้งกำหนดบทบาทหน้าที่ของศูนย์ดำรงธรรมในมิติใหม่ 7 ด้าน คือ การรับเรื่องราวร้องเรียนร้องทุกข์ , การให้บริการเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service) เช่น การจ่ายค่าน้ำค่าไฟ หรือการต่อบัตรประชาชน , การให้บริการข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมง เช่น โควิด-19 , การให้คำปรึกษา โดยมีนิติกรประจำศูนย์ฯ คอยให้คำปรึกษาด้านกฎหมายเบื้องต้น , การรับส่งต่อเรื่อง ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง , การจัดชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว ลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาและเจรจาเมื่อเกิดเหตุการณ์เร่งด่วน , การดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย
ประเภทของเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ที่พบบ่อยที่สุด
“ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2557-2567) มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาประมาณกว่า 75 ล้าน อันนี้คือครอบคลุมบริการ 7 มิติ แต่ในจำนวนนี้ถ้าเป็นเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์จริงๆ ประมาณ 3 ล้านกว่าเรื่อง ถ้ามองให้ลงลึกถึงเหตุผลที่ประชาชนเลือกพึ่งศูนย์ดำรงธรรม อย่างแรกคือ เข้าถึงง่ายและความเชื่อใจ ว่าเรามีความเป็นกลางสูงและรักษาความลับได้ดี บางคนเขามีประสบการณ์ไปร้องกับหน่วยงานอื่นแล้วข้อมูลรั่วไหล หรือเจอคู่กรณีเมื่อไปแจ้งความกับหน่วยงานอื่น ทำให้เลือกมาพึ่งศูนย์ดำรงธรรม
“แนวทางการทำงานในการรักษาความลับ ศูนย์ฯ มีมาตรการปกปิดข้อมูลผู้ร้องเรียนอย่างเข้มงวด ทั้งการส่งหนังสือแบบปิดประทับตรา การใช้ชื่อเรื่องที่เป็นกลาง การปกปิดข้อมูลที่อยู่ผู้ร้อง และการกำชับหน่วยงานปลายทางให้คุ้มครองผู้ร้อง ถ้าเราเห็นว่าจะเป็นอันตรายมากๆ เราจะใช้ลักษณะของการเล่าเคสสตอรี่ โดยที่ไม่ได้แจ้งว่าผู้ร้องคือใคร ที่อยู่ หรืออะไรต่างๆ เพื่อเซฟตัวผู้ร้อง หากหน่วยงานปลายทางต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เราจะเป็นสื่อกลางสอบถามให้ ไม่ให้มีการเผชิญหน้ากับผู้ร้องโดยตรง "
ศูนย์ดำรงธรรมจะมีคู่มือการปฏิบัติงาน ที่ได้พัฒนาเทคนิคการใช้จิตวิทยาในการรับมือที่เฉพาะเจาะจงสำหรับผู้ร้องในลักษณะต่างๆ เช่น ผู้ร้องที่มีลักษณะนักวิชาการ - ใช้วิธีการรับฟัง ชื่นชม และแสดงความเคารพต่อแนวคิด , ผู้ร้องที่มีอารมณ์ร้อน - ใช้ความนุ่มนวล อดทน และพยายามตีสนิทเพื่อให้สงบสติอารมณ์ , ผู้ร้องที่มีจิตไม่ปกติ - ทำความเข้าใจความต้องการ พยายามให้ผ่อนคลาย และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“ มีบางเคสที่มาเพราะไม่ยอมรับผลของกฎหมายหรือกระบวนการที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น คำพิพากษาคดี ซึ่งเราทำอะไรให้ไม่ได้ นอกจากการอธิบายทำความเข้าใจ เพราะเราไม่สามารถไปก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรมได้ ”
อย่างไรก็ตามแม้จะเห็นถึงผลงานมากมาย แต่ความท้าทายที่สำคัญ คือ "ระเบียบกฎหมายในเรื่องของเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์" ที่ปัจจุบันยังคงใช้ระเบียบสำนักนายกฯ ปี 2552 ซึ่งค่อนข้างเก่า และยังไม่มีกฎหมายรองรับ กรณีการร้องเรียนเท็จ ทำให้ผู้ที่ร้องเรียนเท็จไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรม บอกว่า เป็นเรื่องที่ทุกหน่วยงานต้องร่วมกันผลักดันการแก้ไข
"เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจว่า ในหลายๆ เรื่องที่บอกว่าไม่ยุติ อยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนหนึ่งที่ไม่ยุติก็เพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของกระทรวงอื่นด้วย ที่ต้องทำงานเชื่อมต่อกัน ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เราควรจะต้องผลักดันแก้ไขร่วมกันกับทุกๆ หน่วยงาน"
นายปวเรศ รัฐขจร ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรม กล่าวทิ้งท้าย
เมื่อการแจ้งความที่ผู้เสียหายต้องตระเวนเดินทางหลายที่ เมื่อต้องเป็นนักกฎหมายเบื้องต้นให้ตัวเอง เมื่อต้องเป็นนักสืบเพื่อหาหลักฐาน และเมื่อไม่มีใครบอกว่า “คดี” ไปถึงไหนแล้ว
คำถามคือ...ใครจะเป็นคนแก้ปัญหาตรงนี้ ให้ "ความยุติธรรม" ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดสวยหรู แต่กลายเป็นสิ่งที่ประชาชนธรรมดาเข้าถึงได้จริง
"แค่การแจ้งความก็ยังดูยากเลย"
"ประสบการณ์ที่เจอกับตัว...คือตอนไปถ่ายงานแล้วก็โดนโกงค่าจ้างครับ โดนกันหลายคนเลย เคสนี้เคยเป็นข่าวมาแล้ว" 'พีซ' ช่างภาพหนุ่ม บอกกับเราเมื่อถูกถามถึงประสบการณ์ที่เคยเจอและเจ็บเกี่ยวกับเรื่องของความยุติธรรม
พีซ เล่าว่าเคสของเขามีผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อนับร้อยคน ด้วยรูปแบบการฉ้อโกงของมิจฉาชีพที่มีการวางแผนว่าเป็นขั้นตอน
“เขาอ้างตัวเป็นบริษัทโมเดลลิ่งไปลงโพสต์ประกาศหาคนทำงานในกลุ่มต่างๆบนเฟซบุ๊ก ว่าต้องการหานายแบบนางแบบโดยเฉพาะเด็กๆ นักแสดง ช่างแต่งหน้า ช่างภาพ โดยกระจายประกาศไป ไม่ได้ลงในตัวเดียวกัน ทำให้ทุกคนที่เป็นเหยื่อไม่รู้ว่าตัวเองถูกหลอก”
พีซบอกว่าปกติแล้วตนเองจะเก็บเงินมัดจำก่อนเริ่มงาน แต่เคสนี้ มิจฉาชีพเร่งรัด อ้างว่างานด่วน โดยมีการสร้าง “คนประสานงาน” ขึ้นมาคนหนึ่ง เป็นคนกลางที่คุยกับเหยื่อ และคอยถ่ายรูปส่งให้เขา เหมือนรายงานอัปเดตว่าคนนี้มาถ่ายจริง โดยที่ตลอดเวลาที่ทำงานตัวมิจฉาชีพไม่เคยโผล่หน้ามาเลย ที่สำคัญจะไม่รับเงินเข้าบัญชีตัวเอง แต่ให้เหยื่อโอนเข้าบัญชีของ "คนประสานงาน" แล้วมิจฉาชีพจะไปถอนเงินออกแบบไม่ใช้บัตร โดยให้คนประสานงานบอกรหัสผ่านทางโทรศัพท์ให้ เพื่อเขาจะได้ถอนเงินออกมา
หลังทำงานไปแล้วเริ่มเอะใจ จึงไม่ส่งรูปให้ เพราะให้โอนเงินที่ค้างจ่าย ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ทีมงานที่ไปทำงานรอบเดียวกัน ทักมาถามเรื่องเงินค่าจ้างที่เขาก็ยังไม่ได้เช่นกัน รวมถึงผู้ปกครองที่พาลูกไปถ่ายก็มาทวงรูป เพราะติดต่อโมเดลลิ่งไม่ได้
“ เขาจะเอาข้อมูลต่างๆที่ได้นำไปหลอกคนอื่นต่อ เช่น รูปเบื้องหลังการทำงานต่างๆ นอกจากจะหลอกให้คนไปทำงาน "ฟรี" เขาจะหาเงินจากผู้ปกครองที่พาลูกมาแคสติ้ง บอกว่า "ลูกน่าสนใจ มีรูป portfolio มั้ย? ถ่ายไม่สวยเลย เดี๋ยวถ่ายให้ใหม่" แล้วก็เก็บค่าเสื้อผ้า ค่าแต่งหน้า ซึ่งทุกอย่างที่เขาใช้ในการติดต่อกับเหยื่อ คือข้อมูลปลอมขึ้นมาทั้งหมด ส่วนตัวคนประสานงาน ก็ยืนยันว่าเขาเองถูกหลอกมาทำงานเหมือนกัน ”
หลังรู้ตัวว่าถูกหลอก และทราบภายหลังว่าคนร้ายก่อเหตุกับเหยื่อมาแล้วหลายราย จึงหารือกับผู้เสียหายรายอื่นๆ และนัดกันไปแจ้งความ
คือการไม่รู้พื้นที่แบ่งงานความรับผิดชอบของตำรวจ ที่แม้แต่ตำรวจเองก็ยังไม่รู้ชัดเจนพื้นที่ของตัวเอง
เขาเล่าว่าครั้งแรก เขาและผู้เสียหายนัดรวมตัวกันไปแจ้งความ ที่ สน.ทองหล่อ เพราะเหยื่อส่วนใหญ่อยู่ใกล้ จึงมองว่าสะดวก แต่เมื่อไปถึงตำรวจแจ้งว่าไม่สามารถรับแจ้งความได้ ต้องไปที่ สน.ท้องที่เกิดเหตุที่ไปถ่ายแบบ
เขาและผู้เสียหายทราบว่า เคยมีผู้เสียหายรวมตัวกันไปแจ้งความโมเดลลิ่งปลอมนี้ที่กองบังคับการปราบปราม จึงตัดสินใจนัดกันไปที่กองปราบฯ เพื่อไปร้องเพิ่มจากกลุ่มแรก แต่พอไปถึง ตำรวจบอกว่าคดีไม่เข้าเงื่อนไขการรับแจ้งความของกองปราบ เพราะมูลค่าความเสียหายไม่ถึง 5 ล้านบาท และตำรวจได้แนะนำให้ไป สน.พญาไท เพราะเป็นท้องที่เกิดเหตุ
“วันแรกเราไปถึงทองหล่อ ตำรวจก็ไม่รับเรื่อง เพราะไม่ใช่ท้องที่เกิดเหตุ จากนั้นเราก็นัดรวมตัวกันใหม่ไปกองปราบ แต่พอไปถึงก็ได้คำตอบที่ผิดหวัง เขาพาเราเข้าไปคุยในห้อง แล้วก็บอกว่าค่าความเสียหายมันไม่ถึงนะ รับแจ้งความไม่ได้ แล้วก็บอกให้เราไป สน.พญาไท”
เมื่อไปถึงที่ สน.พญาไท พนักงานสอบสวนบอกปัด แจ้งว่า สน.พญาไท ก็ไม่ใช่ท้องที่เกิดเหตุของคดีนี้ โดยให้ไปแจ้งความที่ สน.บางซื่อ และบอกว่าคดีนี้หากรับแจ้งความ ก็รับได้แค่เป็นคดีแพ่ง
เมื่อคดีฉ้อโกง ถูกตำรวจตีความว่าเป็น "คดีแพ่ง"
“ พอเราไปถึง สน.พญาไท ตามที่ตำรวจแนะนำ แต่กลายเป็นว่าไปถึงไม่ใช่พื้นที่รับผิดชอบของเขา ตำรวจบอกเราว่าเป็นพื้นที่ของ สน. บางซื่อ ต้องไปอีก สน.หนึ่ง เพราะพื้นที่มันคาบเกี่ยวกันตรงขอบๆ และเขาบอกว่าถ้าจะให้รับแจ้งความเคสนี้ ก็ต้องเป็นคดีแพ่ง เพราะเป็นแค่การผิดสัญญาจ้าง แต่เราต้องการดำเนินคดีอาญา อยากให้มีการออกหมายเรียก เพื่อจะได้ออกหมายจับ ไม่อยากให้เขาไปทำแบบนี้กับใครอีก "
พีซ เล่าด้วยความเหนื่อยล้า
เขาบอกว่าหลังรู้ว่าตำรวจจะไม่รับแจ้งคดีอาญา ตอนนั้นในมุมของคนที่เป็นผู้เสียหาย พวกเขาทั้งรู้สึกล้าและเหนื่อย เพราะผ่านไปครึ่งวันแล้ว แต่ยังไม่ได้อะไรคืบหน้าเลย
" ไม่มีคำแนะนำอะไรครับ เขาบอกว่า 'อย่างนี้ต้องไปฟ้องเอง' แต่มันฟ้องไม่ได้อยู่แล้วไงครับ มูลค่ามันไม่ได้เยอะขนาดที่จะต้องทำอย่างนั้น อย่างของผมเสียหายไป 8,000 บาท คือค่าจ้างที่ไม่ได้ ส่วนรายอื่นๆก็แตกต่างกันไป มันเลยเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลายคนถอดใจ เราแค่อยากให้เจ้าตัวมิจฉาชีพมาพบตำรวจ อย่างน้อยก็ออกหมายเรียก ไม่ต้องถึงกับหมายจับก็ได้ ให้เจ้าตัวมา เพราะเขาไม่เคยโผล่มารับผิดชอบเลย "
พีซ เล่าว่า ก่อนที่จะมาแจ้งความ เขาและผู้เสียหายคนอื่นช่วยกันแกะรอยสืบหาตัวตนของมิจฉาชีพ แม้จะมีความยากคือข้อมูลทุกอย่างที่มีเป็นข้อมูลปลอมทั้งหมด แต่สุดท้ายก็สามารถได้ข้อมูลรูปบัตรประชาชน มา เมื่อรู้ตัวตนของมิจฉาชีพแล้ว ความพยายามต่อมาคือจะทำอย่างไรให้สามารถเอาผิดในคดีอาญาได้
" เราก็ไปหาข้อมูลเอง ว่ามีพฤติการณ์ไหนที่เข้าข่ายคดีอาญาได้บ้าง จะได้แจ้งความเป็นคดีอาญา แล้วให้ตำรวจออกหมายเรียกตัว ผมเห็นว่าเขามีการเอารูปที่เราถ่าย รวมถึงรูปเบื้องหลังตอนทำงาน เอาไปโพสต์หลอกคนอื่นต่อ ซึ่งในรูปนั้นติดภาพตัวผมกับเด็กที่มาถ่ายแคสต์งานด้วย ผมก็บอกตำรวจว่า 'อันนี้มันเข้าข่าย พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) นะพี่' แล้วก็ 'ผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์' ด้วย สุดท้ายตำรวจเขาก็ยอมรับแจ้งความคดีอาญาครับ จากตอนแรกที่เขาบอกว่าทำได้แค่คดีแพ่ง "
เขายอมรับว่า เคสของเขาผู้เสียหายหลายคน รวมถึงตัวเขาเอง ท้อและถอดใจ ไม่ใช่เพราะเงินที่สูญไป แต่เพราะกระบวนการที่มันซับซ้อน และยุ่งยาก ผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครองที่คาดหวังว่าลูกจะได้แคสงาน มีรายได้ แต่ต้องเสียเงิน เสียเวลามาคอยตามเรื่องของตัวเอง ทั้งๆที่บางคนก็มีฐานะไม่ค่อยดี
“ ถึงเราจะพยายามจนได้หมายเรียกออกมาแล้ว แต่คดีเงียบไปเลยครับ ผ่านไปแล้วเป็นปี ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย กระบวนการมันควรจะง่ายกว่านี้ครับ มันกลับเหมือนเราเข้าถึงเขายากมากเลย แค่การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมยากมาก และพอเข้าถึงแล้ว ทุกอย่างก็ยังดูเงียบหาย ทั้งที่เราพยายามไปหาข้อมูลของคนทำผิดมาให้ตำรวจแล้ว "
"ถ้าจากประสบการณ์ตรงที่เจอกับตัว ผมว่าระบบกระบวนการยุติธรรมบ้านเรามันควรจะสามารถแจ้งความที่ไหนก็ได้เป็นพื้นฐาน ควรทำให้ข้อมูลมันเชื่อมถึงกันได้" และควรมี "One Stop Service" ที่ประชาชนไม่ต้องเดินทางไปหลายที่ มันเป็นยุคที่ระบบมันออนไลน์กันหมดแล้ว ฐานข้อมูลตำรวจก็ออนไลน์แล้ว แต่การทำงานทำไมไม่ทำให้ระบบมันเชื่อมโยงกันเลย"
และที่สำคัญ คือควรมี "ระบบตรวจสอบ ติดตาม หรือแท็กคดีได้" เพื่อให้ผู้เสียหายทราบความคืบหน้า แบบเช็คได้ ตรวจสอบได้
"เราจะได้มีความหวังหน่อย เพราะเราไม่รู้อะไรเลย เหมือนแจ้งความเสร็จแล้วก็โดนทิ้งเลย"
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง
" ปัญหาสังคมทุกวันนี้มันเยอะมาก ต่อให้เป็น 100 ปวีณาทำ ก็ไม่ทัน ชื่นชมทุกคนที่เข้ามาช่วยสังคม แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้อง “จริงใจ” และไม่มีผลประโยชน์ แอบแฝง "
หากเอ่ยถึงชื่อของ มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี หลายคนคงรู้จักกันดี เพราะถือเป็นผู้บุกเบิกการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่ใช่หน่วยงานภาครัฐ และก่อตั้งมายาวนานกว่า 26 ปี
ปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เปิดใจและถ่ายทอดมุมมองการทำงาน จุดเริ่มต้น และความคิดเห็น ต่อกระบวนการยุติธรรมไทย
ตอนปี 2531 ช่วงที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก ลงพื้นที่ไปเยี่ยม "บ้านเกร็ดตระการ" ซึ่งเป็นบ้านพักสำหรับผู้หญิงที่ถูกค้าประเวณี พบเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง จึงเข้าไปพูดคุยด้วย เพราะคิดว่าเป็นลูกของเจ้าหน้าที่ แต่คำตอบที่ได้รับ คือ เด็กหญิงอายุเพียงแค่ 11 ขวบ ถูกพ่อเลี้ยงพาไปขายซ่อง แล้วตำรวจพามาอยู่ที่นั่น
"ตอนนั้นช็อกค่ะ ตกใจ คือในชีวิตของเราอยู่กับพ่อแม่ที่อบอุ่น ลูกเราก็ 7 ขวบ เรายังดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ แต่เด็กที่อยู่ตรงหน้าเราแค่ 11 ขวบแล้วเขาเจออะไรแบบนี้ เราไม่เคยรู้เลยว่ามันจะมีเด็กอายุแค่ 11 ขวบ ต้องโดนไปขายซ่องแบบนี้ มันสะเทือนใจมาก ก็เดินไปแล้วก็น้ำตาไหล นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราตั้งปณิธานเลยว่า อยากจะทำงานในเรื่องสังคม ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ตลอดไป"
จากช่วงแรกที่ทำงานด้านสังคม ก่อนที่จะก่อตั้งเป็นมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี อย่างเป็นทางการในปี 2542 เพราะไม่ต้องการให้งานช่วยเหลือสังคม ต้องอิงกับการเมือง เนื่องจากมองว่า ปัญหาสังคม ควรจะต้องทำต่อเนื่อง ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล
แม้ชื่อมูลนิธิจะระบุว่า 'เพื่อเด็กและสตรี' แต่ในทางปฏิบัติ มูลนิธิฯ รับเรื่องร้องทุกข์ทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคม ตั้งแต่ปัญหาสุขภาพ หนี้สิน การศึกษา สุขภาพจิต ไปจนถึงคดีอาชญากรรมร้ายแรง และปัญหาแรงงานทั้งในและต่างประเทศ
เรารับทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะแค่ด้านเด็กและสตรี เพราะว่าถ้าเราไม่รับ มันไม่ได้ค่ะ ทุกปัญหามันมีความส่งผลเกี่ยวโยงกันหมด โดยเฉพาะเรื่องที่กระทบกับครอบครัว ถ้ารวมๆแล้วเฉลี่ยเดือนนึงเรารับเรื่องร้องทุกข์ และขอความช่วยเหลือต่างๆ ประมาณ 500 กว่าเรื่อง
ประธานมูลนิธิปวีณาฯ เผยถึงข้อมูลสถิติการทำงานช่วยเหลือคนว่า นับตั้งแต่ปี 2542 มูลนิธิได้รับเรื่องร้องทุกข์มาแล้วกว่า 200,000 เรื่อง โดย ปัญหาการข่มขืน ยังคงเป็นอันดับหนึ่ง ที่น่าตกใจคือ เด็กที่ถูกข่มขืนมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ จากเดิมที่เฉลี่ย 13-14 ปี แต่ปัจจุบันมีอายุเฉลี่ยเพียงแค่ 5-8 ปี ส่วนอาชญากรรมออนไลน์และยาเสพติด เป็นกลุ่มคดีมีตัวเลขการร้องทุกข์เข้ามาสูงขึ้นทุกปี
เหตุใดผู้เดือดร้อนจำนวนมากจึงเลือกที่จะมาร้องเรียนที่มูลนิธิฯ ก่อนที่จะไปแจ้งความกับตำรวจโดยตรง ปวีณาให้มุมมองในเรื่องนี้ว่า เพราะนี่คือ "ทางเลือก" สำหรับประชาชน ที่เลือกจะมาขอคำปรึกษาและให้ช่วยติดตามคดี เพราะ ความกลัวและไม่มั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่
"ประชาชนจำนวนมากนะคะที่เขามีความกังวล เวลาที่ต้องเข้าหาหน่วยงานราชการ หรือกลัวว่าการเปิดเผยตัวตนจะนำมาซึ่งปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่เกี่ยวข้องกับคนใกล้ชิดหรือเพื่อนบ้าน แต่เขามองว่า มูลนิธิฯ จะเป็นที่พึ่งที่จะช่วยปกปิดข้อมูลของผู้แจ้ง เขาไม่ต้องการที่จะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ขณะเดียวกันเขาก็ต้องการความช่วยเหลือ หรือแม้แต่การเป็นพลเมืองดี "อย่าบอกว่าเขาเป็นคนบอกนะ" ประโยคนี้ที่เรามักจะได้ยินคำร้องขอจากคนที่มาหาเราเสมอๆ"
"ขณะที่บางคนอาจ "คิดไม่ออก" ว่าควรทำอย่างไรเวลาที่ลูกหลานถูกทำร้าย หรือถึงเขาจะไปแจ้งความกับตำรวจแล้ว แต่ก็มาที่มูลนิธิฯอีกทางหนึ่งด้วย เพราะอยากที่จะให้ช่วยติดตามเรื่องให้ มันสะท้อนถึงความต้องการ "ที่พึ่ง" และความ “เชื่อมั่น” ว่ามูลนิธิฯ จะช่วยผลักดันให้กระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ"
ประธานมูลนิธิปวีณาฯ เน้นย้ำว่าตนเองไม่ใช่ผู้มีอำนาจในการจับกุมหรือดำเนินคดี แต่เป็น "ผู้ประสานงาน การติดตามงานเท่านั้น" การทำงานของมูลนิธิฯ ประสบความสำเร็จได้เพราะการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และสื่อมวลชน เมื่อได้รับแจ้งเหตุ มูลนิธิฯ จะประสานงานอย่างใกล้ชิดกับตำรวจและกระทรวงการพัฒนาสังคม
"ต้องเข้าใจว่ามูลนิธิไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะไปจับกุมใคร หรือไปดำเนินคดีอะไรต่าง ๆ ตรงนั้นเป็นหน้าที่ของตำรวจ ถ้าเป็นสมัยก่อนตำรวจบางคนก็ไม่เข้าใจ ทำไมต้องไปแจ้งปวีณา เราก็อธิบายว่าเขามาแจ้ง เพื่อให้เราช่วยติดตามงาน แต่มายุคหลังๆนี้ก็เข้าใจหมดแล้วล่ะ การทำงานของเราคือการเป็นผู้ช่วย เป็นผู้ช่วยของประชาชน"
อย่างไรก็ตาม จุดยืนของมูลนิธิฯ จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหากผู้เสียหายต้องการเรียกเงินค่าเสียหายจากผู้กระทำผิด โดยจะมุ่งเน้นเรื่องการดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง
"ต้องยอมรับว่าตำรวจเขาจะทำงานแบบมี “ขั้นตอน” แบบ “ราชการ” ทุกอย่างต้องมีสเต็ป มันเลยทำให้กระบวนการต่างๆ ล่าช้า สาเหตุหนึ่งของความล่าช้าคือการที่ตำรวจบางนายยึดขั้นตอนราชการอย่างเคร่งครัดมากเกินไป โดยเฉพาะร้อยเวรที่เพิ่งจบใหม่หรือขาดประสบการณ์ แต่ในขณะที่บางกรณี โดยเฉพาะคดีเกี่ยวกับเด็ก มันจำเป็นต้องเร่งรัดอย่างรวดเร็ว และมันควรจะเร่งด่วนด้วยซ้ำ"
"ยกตัวอย่าง คดีข่มขืน ส่งผู้เสียหายไปตรวจร่างกาย ตามปกติต้องรอผลตรวจ 1 เดือน แต่ความจริง 1 เดือนรอไม่ได้หรอก ผู้กำกับต้องให้ตำรวจร้อยเวรไปสอบปากคำหมอเลย ตกลงมันมีร่องรอยไหม เพื่อทำบันทึก บางทีมันต้องใช้พาวเวอร์ของตัวเองพอสมควร"
ปวีณา สะท้อนปัญหา
เธอสะท้อนเพิ่มเติมว่าคดีเด็กและสตรี ซึ่งเป็นคดีที่มีความละเอียดอ่อนสูง ตำรวจบางนายขาดประสบการณ์ โดยเฉพาะการออกหมายจับผู้กระทำผิดโดยทันที เพื่อป้องกันการข่มขู่เด็ก แต่ยังคงมีบางกรณีที่ตำรวจอาจไม่รับแจ้งความ หรือขอเวลาตรวจสอบก่อน ซึ่งกลับเป็นการทำให้คดีล่าช้า และเหยื่อไม่ได้รับความยุติธรรม
ในฐานะที่เป็นรุ่นบุกเบิกของ สน.ภาคประชาชน ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ให้มุมมองถึงการที่ปัจจุบัน มีเพจ "ฮีโร่" เกิดขึ้นมากมาย รวมถึง “องค์กรภาคประชาสังคมรุ่นใหม่” ออกมาช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนในเรื่องราวต่างๆ จนดูเหมือนว่า สน.ภาคประชาชน กลายเป็น “ที่พึ่ง” ทางเลือกใหม่ของผู้คนในทุกวันนี้ไปแล้ว แซงหน้า สถานีตำรวจ
“เป็นเรื่องที่ดี หากสังคมมีการช่วยเหลือกัน เพราะปัญหาสังคมทุกวันนี้เยอะ และมีจำนวนไม่น้อยที่มีความซับซ้อน ต่อให้มีเป็น 100 ปวีณาทำ ก็ไม่สามารถทำได้ทัน เพราะสังคมปัจจุบันมันเปลี่ยนแปลงจากอดีตไปเยอะ คดีต่างๆมันเกิดขึ้นเยอะและบางครั้งก็ซับซ้อน ไม่จำเป็นต้องก่อเหตุแบบซึ่งหน้า โซเชียลมีเดียต่างๆ การหลอกลวงกันใน Cybercrime อะไรต่างๆ บางทีหลอกเด็ก 10 ขวบ พ่อแม่ก็ตกใจไปดูในวิดีโอในคลิปเด็ก ฉะนั้นใครก็ตามที่มาช่วยสังคม สำหรับพี่ชื่นชมทุกคนที่เข้ามาช่วยสังคม มาช่วยกันเถอะค่ะ เพราะว่ามันเยอะมาก ปัญหาและคนที่เดือดร้อน ก็อยากให้มาช่วยกัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้อง “จริงใจ” แล้วก็ไม่มีผลประโยชน์ แอบแฝง "
ปวีณา กล่าว